ผจก.เอส.ที.อาระเบียนกรุ๊ป ยันราคาฮัจย์ในกรุงเทพฯ 1.55-1.65 แสนมา 3 ปี ไม่ขึ้นราคา การย้ายค่ายจากกรมศาสนามามหาดไทย แค่เปลี่ยนค่ายเบอร์เดิม คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก
จากกรณีที่ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้มาชี้แจงเรื่องการถ่ายโอนกิจการฮัจย์ไทยในอนาคต เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ห้องประชุมทักษิณโรงแรมโฆษิตหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดย.สมาคมผู้ประกอบกิจการฮัจย์ภาคใต้ เกี่ยวกับกิจการฮัจย์ของไทยที่จะต้องย้ายจากกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ไปสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และชี้แจงประเด็นสำคัญ ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการฮัจญ์ในหลักการและเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนสังกัดใหม่ เพื่ออะไรและเพื่อใครนั้น
นายสมหวัง มะเด็น หรือแซะห์ซัม กรรมการผู้จัดการ หจก. เอส.ที.อาระเบียนกรุ๊ป และกรรมการสมาคมผู้ประกอบการฮัจย์กรุงเทพฯ กล่าวกับมุสลิมไทยโพสต์ว่า... “ต้นทุนของบริษัทฮัจย์มันขึ้นอยู่กับปัจจัย 2-3 อย่าง เช่น เรื่องราคาเครื่องบิน ถ้าไปกับการบินไทยราคาก็จะสูงกว่า ค่าเครื่องของการบินไทยไปกลับจะอยู่ที่ 51,000 บาทโดยประมาณ ส่วนสายการบินอื่นที่บินไปจากสุวรรณภูมิราคาจะอยู่ที่ 38,000-42,000 บาทราคาจะอยู่ที่ประมาณนี้ไม่เกินนี้” และว่า...
“ส่วนการไปรับที่หาดใหญ่หรือนราธิวาส มันจะเป็นแบบชาร์เตอร์ไฟลต์ คือมาเครื่องเปล่า ราคามันก็จะสูง เรื่องที่พักก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ และวันเดินทางก็สำคัญไม่แพ้กัน สมมุติว่าวันที่เปิดสนามบินแล้วไป โดยไปพักอยู่ที่มะดีนะฮ์ก่อน จะถูกกว่าในเรื่องค่าที่พักเพราะยังไม่มีแซะห์อื่นไป คนกรุงเทพฯจะไปช่วงที่ 2 ราคาจะแพง 3 เท่า อย่างเช่นคนใต้นี่เขาจะเดินทางช่วงต้นพอเปิดสนามบินก็ไปเลยที่พักในมะดีนะฮ์จะมีราคา 400 เหรียญต่อ 1 เตียง ในกรณีคนกรุงเทพฯ หรือภาคกลางนี่เวลาไปเขาจะไปช่วงที่สอง ราคาค่าที่นอนจะปรับขึ้นเป็น 1,200 เหรียญต่อ 9 วัน มันขึ้นกับว่าคุณจะไปช่วงไหน นอนโรงแรมไหน จะมาฟิกตายตัวในเรื่องราคาไม่ได้ อย่างเราไปเป็นชุดสุดท้าย ไปอยู่ที่พักไกล โดยไปอยู่ที่อาลีรียะฮ์ ถึงมีระยะเวลาทางไกลถึง 15 ก.ม.ซึ่งเป็นสถานที่ๆ อยู่ใกล้ทุ่งมีนา ราคาจะอยู่ที่ 1,000 เหรียญ”
กรรมการผู้จัดการ หจก. เอส.ที.อาระเบียนกรุ๊ป กล่าวต่อว่า... “ราคาที่ขายแพคเกจหรือค่าบริการฮัจย์ในกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 155,000-165,000 บาท บริษัทฯ ไม่เคยปรับขึ้นราคา ยังยืนอยู่ในราคานี้มา 3 ปีแล้ว เพราะที่พักก็ยังคงราคาเท่าเดิมค่าตั๋วเครื่องบินก็ราคาเท่าเดิม ส่วนอาหารปรับตัวขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะทางการซาอุดี้บังคับเป็นบุฟเฟ่ต์ในปีนี้ ราคาก็จะปรับสูงขึ้นมานิดหนึ่ง เขาจะคิดต่อวัน 35 เหรียญ อาหาร 3 มื้อ มาอยู่ 20 กว่าวันก็ประมาณ 7,000 กว่าบาท นี่ที่มักกะฮ์อย่างเดียวที่มะดีนะฮ์ต่างหาก” และว่า...
“ส่วนที่มีนาก็จะอยู่ในแพคเกจ 13,000 บาทที่ทางกรมศาสนาได้เก็บล่วงหน้าไป เป็นค่าจองคิวหรือจองรหัส ใน 13,000 บาทนี้มันจะมีค่าเยียบเมือง ค่ารถ ค่าอาหาร และค่าเต้นท์ที่มีนาและอาราฟะฮ์ ใน 13,000 บาทนี้เป็นค่าบริการของทางการซาอุดี้ฯ คือเมื่อเราลงทะเบียนสมัครไม่ว่าเราจะไปปีไหน เราจะต้องจ่ายค่าลงสมัครทะเบียนเป็นเงินทั้งหมด 13,020 บาท เงินที่เพิ่มมาจำนวน 20 บาทเป็นธรรมเนียมของแบงค์ พักอยู่ที่นั่น 5 คืน โดยอยู่ที่มีนา อาราฟะฮ์เพื่อวูกุ๊ฟ หลังตะวันคล้อย จากนั้นก็จะไปละหมาดมัฆริบและอีชาอฺที่มุสซะรีฟะฮ์ เพื่อรอการเก็บหินในช่วงเที่ยงคืน ก่อนที่จะกลับมาขว้างเสาหินที่มีนา”
ส่วนประเด็นที่ทาง กอท.ต้องการจะย้ายฝ่ายกิจการฮัจย์ จากกรมศาสนา ไปสังกัดกรมการปกครองนั้น นายสมหวัง กล่าวว่า... “คงเป็นแค่เพียงการย้ายค่าย ส่วนบุคลากรก็คงเป็นคนเดิมๆ อาจจะไม่เอาคนที่เป็นหัวหน้า จริงๆ แล้วทางกรมศาสนาเข้าจะเพิ่งดำเนินการที่เข้ารูปเข้ารอยเป็นระบบแค่เพียงปีนี้เป็นปีแรก เพราะทางกรมรู้ว่าจะต้องถูกย้าย เพราะที่ผ่านๆ มาก็มีปัญหาหลายอย่างที่กรมการศาสนาก็ไม่เคยเรียกผู้ประกอบการเข้าประชุมร่วมเพื่อรับฟังปัญหา เป็นเวลา 2 ปีซ้อนแล้วที่เราจัดทำกันมา ตั้งแต่มีอธิบดีคนใหม่ ไม่เคยถามปัญหาเลยว่าเราต้องการอะไร มีปัญหาอะไรไหมที่จะต้องแก้ไขไม่มีมีเลย มีแต่เพียงการออกหนังสืออย่างเดียว” นายสมหวัง กล่าว