เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน (มลายู: Tengku Abdul Kadir Kamaruddin) เป็นพระยาเมืองปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2442 - 2445 ถือเป็นรายาปัตตานีองค์ที่ 5 และเป็นองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กลันตันที่ปกครองปัตตานี
เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน เป็นโอรสในเต็งกูสุไลมานซารีฟุดดีน
โดยมีพระพี่น้องร่วมกัน 4 คนดังนี้ คือ
1.เต็งกูสุหลง ชายาเต็งกูบิตารา ชายาท่านนี้มีมารดาคือเต็งกูนิปูเตะ ธิดารายาเมืองสายบุรี
2.เต็งกูบือซาร์ ต่วนกัมบัล ชายาเต็งกูมูฮัมหมัด อุปราชเมืองปัตตานี
3.เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน
4.เต็งกูมูฮัมหมัดซอและ
เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน มีทายาทจากเต็งกูบุตรีกลันตันด้วยกัน 6 คน โดยเป็นโอรส 3 คน ธิดา 3 คน ได้แก่
1.เต็งกูอะหมัดนูรุดดีน (เต็งกูศรีอาการายา) จากต่วนนามัสปะตานี
2.เต็งกูซูไบด๊ะ (เต็งกูบือซาร์) พระอัยกีในสมเด็จพระราชาธิบดีตวนกู ซัยยิด ซีรอญุดดีน รายาแห่งรัฐปะลิส
3.เต็งกูยูโซฟชาฟุดดีน
4.เต็งกูราว์เดาะ ประไหมสุหรีรายาหะยี ฮาหมัดเประ
5.เต็งกูกามารีเยาะ ทายาทอินเจะมอร์นะปะตานี
6.เต็งกูยะห์ ชายาเต็งกูอับดุลกอเดร์ (เต็งกูปุตรา) บุตรรายาเมืองสายบุรี
7.เต็งกูมะห์มูดหมูดมะห์ยุดดีน
หลังจากพระยาวิชิตภักดี (เต็งกูสุไลมานซารีฟุดดีน) บิดาได้ถึงแก่พิราลัยแล้ว เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน จึงได้ขึ้นรั้งตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีในปี พ.ศ. 2441 ระหว่างที่รอพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าเมืองนี้เอง พระยาสุขุมนัยวินิตเกณฑ์กำลังทหารกว่า 600 คนมาบีบบังคับการเสียภาษีของประชาชน และสั่งห้ามมิให้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองลงโทษผู้ขาดละหมาดวันศุกร์ สร้างความคับแค้นใจแก่เขาอย่างมาก หลังเต็งกูอับดุลกอเดร์ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นเจ้าเมืองปัตตานีในตำแหน่ง "พระยาวิชิตภักดี" แล้ว เขาจึงเขียนจดหมายร้องเรียนความทุกข์ต่างๆไปยังข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสิงคโปร์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2441 โดยระบุว่านโยบายของสยามต่อปัตตานี "กำลังนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองของข้าพเจ้า"[1] อังกฤษต้องการจะรักษาไมตรีกับสยามจึงเมินเฉยต่อจดหมายดังกล่าว
คิดขบถต่อสยาม
หลังถูกอังกฤษเมินเฉย เขาจึงเรียกประชุมเจ้าเมืองต่างๆที่ปัตตานี ที่ประชุมเห็นชอบที่จะก่อขบถขึ้นในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2444 โดยหวังว่าเมื่อหัวเมืองทางใต้ลุกฮือขึ้น ฝรั่งเศสจะถือเข้าตีสยามจากอินโดจีนทางเหนือทำให้สยามคงต้องยอมปล่อยหัวเมืองมลายูให้เป็นอิสระ[2] อย่างไรก็ตาม ก่อนการขบถเพียงหนึ่งเดือน ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสิงคโปร์ได้พบกับเต็งกูอับดุลกอเดร์ และเกลี้ยกล่อมให้เขาอดทนไม่ใช้ความรุนแรง โดยรับปากว่าจะปรึกษากับรัฐบาลอังกฤษให้หาทางคืนอำนาจให้รายาปัตตานี[3] เต็งกูอับดุลกอเดร์คล้อยตามจึงยกเลิกแผนก่อขบถ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษกลับตัดสินใจนำข่าวการขบถนี้แจ้งไปยังรัฐบาลสยามเสียเอง
ลงนามให้สยามปกครอง
เมื่อรัฐบาลสยามทราบข่าวจากอังกฤษว่าบรรดาหัวเมืองมลายูวางแผนขบถ จึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีสหเทพลงไปสืบความ หลังพระยาศรีสหเทพรับฟังปัญหาต่างๆจากเต็งกูอับดุลกอเดร์แล้ว พระยาศรีสหเทพได้พูดจาหว่านล้อมให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนามในหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งเขียนด้วยภาษาไทยจนสำเร็จ เมื่อพระยาศรีสหเทพเดินทางออกจากปัตตานีไปยังสิงคโปร์แล้ว เต็งกูอับดุลกอเดร์จึงให้พนักงานแปลหนังสือดังกล่าวให้ถูกต้องอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่พระยาศรีสหเทพได้อ่านให้ฟัง โดยมีเนื้อหาที่แท้จริงว่า "รายาปัตตานีเห็นชอบและยอมรับพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ เพื่อความมั่นคงของปัตตานี และเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของสยามที่มีอำนาจเด็ดขาดทุกเรื่องในปัตตานี"[3] ส่วนพระยาศรีสหเทพได้เดินทางไปยังสิงคโปร์เพื่อแจ้งต่อข้าหลวงอังกฤษว่าปัญหาปัตตานีคลี่คลายแล้ว
เต็งกูอับดุลกอเดร์ได้พยายามต่อรองกับรัฐบาลสยามเพื่อขอให้ปัตตานีปกครองตนเองเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงร้องขอให้อังกฤษเข้าช่วยเจรจากับรัฐบาลสยาม โดยกล่าวว่าถ้าอังกฤษไม่ให้ความร่วมมือ ปัตตานีก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก่อขบถ[3] อังกฤษเมื่อทราบเช่นนี้จึงแจ้งไปยังรัฐบาลสยาม รัฐบาลสยามจึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีสหเทพลงมาปัตตานีอีกครั้งเพื่อชำระความ
ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกควบคุมตัว
พระยาศรีสหเทพในฐานะเสนาบดีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปยังปัตตานีพร้อมตำรวจสยามราว 100 นาย และได้เข้าพบเต็งกูอับดุลกอเดร์ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 และบังคับให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงนามในข้อบังคับปกครองเจ็ดหัวเมือง พ.ศ. 2445 โดยให้เวลา 5 นาทีไม่เช่นนั้นจะถูกปลดจากเจ้าเมือง เต็งกูอับดุลกอเดร์ไม่ยอมลงนามจึงถูกปลดจากตำแหน่งและถูกกุมตัวมาที่สงขลา หลังไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าเมืองระแงะและเจ้าเมืองสายบุรีก็ถูกจับด้วยและถูกนำตัวไปยังพิษณุโลกโดยต้องโทษพิพากษาจำคุก 3 ปี [4]
ได้รับอภัยโทษ
ภายหลังเต็งกูอับดุลกอเดร์ได้สำนึกผิดและขอไปอยู่อย่างสามัญชน รับปากว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับการปกครองใดๆ จึงได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เดินทางกลับปัตตานี[5] เมื่อเดินทางไปถึงปัตตานีมีราษฎรประมาณ 500 คน นั่งเรือ 80 ลำ ไปรับที่ปากน้ำ อีกประมาณ 2,000 คนยืนต้อนรับอยู่บนตลิ่งสองข้างแม่น้ำตานี อยู่ที่ปัตตานีได้ไม่นานก็ย้ายไปพำนักในรัฐกลันตันในเวลาต่อมาและถึงแก่อนิจกรรมที่นั่นเมื่อปี พ.ศ. 2477
ที่มา wikipedia