เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกยิงหลายนัดโดยมือปืนที่กำลังจะเดินเข้าไปก่อเหตุในมัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ฟื้นจากอาการโคม่า แต่
สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: ฟื้นแล้ว! เด็กหญิง 4 ขวบ เหยื่อกราดยิงมัสยิดในไครสต์เชิร์ช พ้นโคม่า แต่...
เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ที่ถูกยิงหลายนัดโดยมือปืนที่กำลังจะเดินเข้าไปก่อเหตุในมัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ฟื้นจากอาการโคม่า แต่สมองถูกทำลาย และมีปัญหาด้านการมองเห็น
- เปิดรายชื่อ เหยื่อกราดยิงมัสยิดนิวซีแลนด์ พร้อมเรื่องราวสุดสะพรึง!
- รวมข่าวกราดยิงมัสยิดนิวซีแลนด์ทั้งหมด
สื่อ New Zealand Herald รายงานว่า เด็กหญิงอเลน (Alen) วัย 4 ปี ที่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองอ๊อคแลนด์ เริ่มรู้สึกตัวเมื่อประมาณ 5 วันที่ผ่านมา วาสซีม อัลซาตี (Wasseim Alsati) บิดาของเธอและเด็กน้อยมีบาดแผลถูกยิงหลายนัด และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน
นายวาสซีม แชร์วิดีโอของตนเองและการฟื้นตัวของลูกสาว ผ่านทางหน้าเฟสบุ๊ก เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา และว่า แพทย์ผ่าตัดลูกสาว 7-8 ครั้ง แพทย์กล่าวว่า ขณะนี้พบว่าสมองเธอถูกทำลาย และต้องใช้เวลาอีก 4 – 6 เดือน เพื่อให้ทราบว่า จะมีผลเลวร้ายมากแค่ไหน
เขายังกล่าวว่า เด็กหญิงฟื้นขึ้นมาโดยจำครอบครัวไม่ได้ และมองไม่เห็น รวมทั้งไม่ได้ยินเสียง เธอไม่ตอบโต้อะไร และ “เราได้แต่คอยดูไปเรื่อยๆ”
ทั้งนี้ มีการเปิดหน้าเฟสบุ๊ก Givealittle ขอรับบริจาคจากชาวนิวซีแลนด์ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของวาสซีม ซึ่งเมื่อบ่ายวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา จำนวนเงินอยู่ที่กว่า 24,000 ดอลล่าร์ แล้ว
- หนุ่มมุสลิมเชื้อเชิญ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เข้ารับอิสลาม (ชมคลิป)
- นิวซีแลนด์นับพัน ชุมนุมต้าน ลัทธิเกลียดชังมุสลิม
- พบเชื่อมโยง มือปืนกราดยิงมัสยิดนิวซีแลนด์ กับกลุ่มขวาจัดในออสเตรีย
- ครบรอบ 14 วันเหตุกราดยิงในมัสยิด นิวซีแลนด์จัดไว้อาลัยอย่างเป็นทางการ (ชมคลิป)
- 'อาเดบายอร์' เผยสาเหตุเข้ารับอิสลาม 13 ข้อ
- คุณแม่นิวซีแลนด์พาลูกสาว 2 เข้ารับอิสลาม หลังเหตุโจมตีในมัสยิด
- นายกฯนิวซีแลนด์สั่งทีวี-วิทยุออกอากาศเสียง “อาซาน” ทั่วประเทศ ละหมาดวันศุกร์แรกหลังเหตุก่อการร้าย
- 'ด้วยเสียงที่สั่นเครือ' ชาวอังกฤษผู้รอดชีวิตจากมือยิงมัสยิดนิวซีแลนด์ เล่าเรื่องเศร้า
- สั่งเนรเทศ! ชายฉลองยินดีมุสลิมถูกยิงตายในมัสยิดนิวซีแลนด์
- ชื่นชม! วัยรุ่นออสซี่ทุบไข่ใส่หัว สว. จะมอบเงินที่ได้รับบริจาคให้มัสยิด
ที่มา: www.thehill.com