แถลงการณ์สำนักจุฬาราชมนตรี เรื่อง แนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
สำนักจุฬาราชมนตรี แถลงการณ์ ขอมุสลิมเคร่งครัด เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
แถลงการณ์สำนักจุฬาราชมนตรี เรื่อง แนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ที่กําลังขยายพื้นที่การแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศทั่วโลก จนทําให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกระดับ การเตือนภัยการระบาดของโรคฯ ในระดับ “สูงมาก” และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีความกังวล ว่าสถานการณ์ในประเทศไทยอาจเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 นั้น
ในการนี้ เพื่อป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้สัมฤทธิ์ผล และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากการปฏิบัติตามคําแนะนําของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แล้ว สํานักจุฬาราชมนตรี ใคร่ขอความร่วมมือมุสลิมทุกคนได้ยึดแนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคดังกล่าวด้วยความเคร่งครัด ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการสลามด้วยการสัมผัสมือ การสวมกอด และการสัมผัสแก้ม โดยให้ยกมือสลาม กันเท่านั้น
2. สําหรับศาสนสถาน (มัสยิด) ให้ผู้ดูแลสถานที่ปฏิบัติ ดังนี้
2.1 จัดให้มีการทําความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำยาทําความสะอาดหรือน้ำผงซักฟอก และแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ อย่างสม่ำเสมอและบ่อยกว่าปกติ
2.2 หมั่นทําความสะอาดมัสยิดหรือสถานที่ละหมาด พรมปูละหมาดในมัสยิด ผ้าปูสําหรับ ละหมาด ตลอดจนชุดที่เตรียมไว้สําหรับใส่ละหมาด ด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืองดการใช้และเก็บชุด และพรมดังกล่าว
2.3 จัดหาเจลล้างมือแอลกอฮอล์และหน้ากากอนามัยไว้บริเวณภายในมัสยิด เช่น ประตู ทางเข้า จุดประชาสัมพันธ์ ห้องสุขา จุดปฐมพยาบาล เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงหรืองดการจัดกิจกรรมสาธารณกุศล การจัดค่ายอบรมเยาวชน การจัด ประชุมสัมมนา หรือกิจกรรมอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นจะต้องจัดกิจกรรม ให้ผู้จัดเตรียมความพร้อมในการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรมและมีมาตรการในการป้องกันและควบคุมโรค ที่เข้มงวด สําหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งและปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน การแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด
4. ศาสนาอนุญาตให้สวมใส่หน้ากากอนามัยขณะละหมาดในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ โรคติดต่อ และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก แม้จะมีอาการไม่มาก ให้งดการไปร่วมละหมาดญะมาอะฮ์ หรือละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด
5. งดการรับประทานอาหารแบบใส่ถาดรวม ให้แบ่งใส่ภาชนะที่ใช้เฉพาะของตนเอง และงดการรับประทานอาหารแบบใช้มือป้อน โดยให้ใช้ช้อนที่ใช้เฉพาะของตนเอง หรือล้างมือให้สะอาด และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร
6. งดการอาบน้ำละหมาดในบ่อน้ำหรืออ่างใหญ่ร่วมกัน โดยให้ใช้ภาชนะส่วนตัวตัก หรือ ใช้ก๊อกน้ำแทน
7. การตะฮ์นีกเปิดปากเด็กทารกแรกเกิด ให้ล้างทําความสะอาดมือเป็นอย่างดี
8. ขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน หากมีอาการไข้หวัด ให้ไปพบแพทย์โดยด่วน ส่วนผู้ที่เดินทางกลับเข้ามา ในประเทศไทยในเดือนมีนาคม ให้พักอยู่บ้าน 14 วัน และพยายามอยู่ห่างจากคนอื่นประมาณ 1 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเฝ้าดูอาการและรายงานอาการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรับทราบทุกระยะ
9. ให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เดินทางไปออกดะวะห์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศ กลุ่มเสี่ยง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และประเทศที่พบผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอิหร่านและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ให้รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือไปพบแพทย์โดยด่วน
10. ให้ทุกคนมีความอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและวิงวอนขอดุอา (ขอพร) จากอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ให้การทดสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี หมั่นขออภัยโทษต่อพระองค์ เพราะการขออภัยโทษ เป็นประจําจะทําให้ภัยพิบัติต่างๆ หมดไป และทําให้มีความแข็งแกร่งขึ้นในการเผชิญกับภัยพิบัติเหล่านั้น
เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ได้ แพร่กระจายเป็นวงกว้าง มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จึงถือได้ว่าเป็นโรคระบาดที่ต้องปฏิบัติตาม คําแนะนําอย่างเคร่งครัด ดังเจตนารมณ์ของหลักนิติศาสตร์อิสลามที่ว่า
“ปัดป้องสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสียหายก่อนที่จะกระทําในสิ่งที่เกิดประโยชน์” และ “ให้แบกรับความเสียหายส่วนตน เพื่อปกป้องมิให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม”
และวจนะศาสดามุฮัมหมัด (ซ.ล.) ความว่า
“เมื่อรู้ว่าแผ่นดินใดเกิดโรคระบาด ก็จงอย่าได้เข้าไปยังแผ่นดินนั้น และหากแผ่นดิน ที่อาศัยอยู่เกิดโรคระบาด ก็จงอย่าได้ออกจากแผ่นดินนั้น” (รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี)
ดังนั้น การปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นในการระวังป้องกันมิให้โรคระบาดดังกล่าว แพร่กระจาย ถือเป็นศาสนบัญญัติที่จําเป็นต้องปฏิบัติตาม ดังพจนารถแห่งอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ความว่า
“และพวกเจ้าอย่าได้สังหารตนเอง โดยกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป อันเป็นเหตุ ให้พวกเจ้าต้องเสียชีวิตในโลกนี้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงโปรดปรานยิ่งต่อพวกเจ้าในประการที่ ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้สังหารตนเอง” (บทอันนิซาธ์ โองการที่ 29)
และอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า มิได้ให้เกิดความยากลําบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา แก่บ่าวของพระองค์ ดังพจนารถแห่งพระองค์ ความว่า
“อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นพวกเจ้าแล้วให้เป็นกลุ่มชนแรกที่นําศาสนาของพระองค์ สู่ชาวโลกทั้งมวล และพระองค์มิได้ให้พวกเจ้าเกิดความยากลําบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา” (บทอัลฮัจญ์ โองการที่ 78)