ในคลิปวีดีโอที่โพสในยูทูปเมื่อวันเสาร์ที่ 29/12 โดยใช้ชื่อว่า Muslim Council of Hong Kong ฉายให้เห็นมุสลิมชาวหุยมีการรวมตัวกันละหมาด
ในคลิปวีดีโอที่โพสในยูทูปเมื่อวันเสาร์ที่ 29/12 โดยใช้ชื่อว่า Muslim Council of Hong Kong ฉายให้เห็นมุสลิมชาวหุยมีการรวมตัวกันละหมาด และมีการอ่านกูนูตนาซิละฮฺ (กูนูตในยามวิกฤต) เพื่อขอให้อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือและปกป้องมัสยิดไม่ให้ถูกรัฐบาลจีนทุบทำลาย ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายจู่โจมเข้าไปในมัสยิด แล้วลากตัวพวกเขาออกมาและมีการทำร้ายร่างกาย
รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งให้มีการทุบทำลายมัสยิด 3 แห่งในเมืองต้าหลี่มณฑลยูนน่าน โดยอ้างว่ามัสยิดเหล่านี้สร้างขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต
มุสลิมชาวหุยหลายพันคนเคยรวมตัวประท้วงครั้งใหญ่มาแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม ที่เมืองเว่ยโจว หลังจากรัฐบาลจีนประกาศแผนทุบทำลายมัสยิดหลวงประจำเมืองเว่ยโจว ที่สามารถรับรองผู้มาละหมาดได้ถึง 30,000 คน มัสยิดเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และสร้างขึ้นจากเงินบริจาคของมุสลิมชาวหุย ที่ร่วมใจกันสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนมัสยิดเก่าอายุกว่า 600 ปี ที่ถูกทำลายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมไปพร้อมกับวัดวาอารามและโบสถ์คริสอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน
ชาวบ้านจำนวนมากต่างพากันตั้งคำถามว่า พวกเขาได้รับการอนุญาตการก่อสร้างอย่างถูกต้อง แต่ทำไมรัฐบาลจีนถึงกลับคำอ้างว่า มัสยิดถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้ดำเนินการด้านเอกสารให้ถูกต้อง และเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่มีการทักท้วงตั้งแต่ช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลานานถึง 2 ปี
ตำรวจไม่ได้มีการปะทะหรือจับกุมคนเข้าร่วมประท้วงในครั้งนั้น แต่กลับบอกผู้ประท้วงให้แยกย้ายกลับบ้านไปก่อน และอ้างว่ารัฐบาลจะทำงานร่วมกับพวกเขาในเรื่องนี้ แผนการทุบทำลายมัสยิดหลวงจึงถูกยุติไว้ชั่วคราว
ทั้งสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยว และโดม ถูกรัฐบาลจีนสั่งรื้อถอนออกจากมัสยิดทั้งหมด
ในปี 2555 ชาวมุสลิมในบริเวณดังกล่าวได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เพื่อขัดขวางไม่ให้ทางการทุบทำลายมัสยิดแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนยังได้ออกกฏหมายห้ามเด็กมุสลิมชาวหุยเรียนคัมภีร์กุรอาน ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนที่เด็กเรียนอยู่หรือในสถานศึกษาของศาสนาอิสลามก็ตาม
รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน เริ่มจำกัดสิทธิในการปฏิบัติศาสนาอิสลามต่อมุสลิมชาวหุยมากขึ้น โดยเริ่มมีความกังวลว่า พวกเขาอาจจะมีชะตาชีวิตไม่ต่างอะไรกับมุสลิมอุยกูร์ในเตอร์กิสถานตะวันออก (หรือเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์) ที่รัฐบาลจีนจับชาวอุยกูร์มากกว่า 1 ล้านคน เข้าค่ายกักกันเพื่อล้างสมองพวกเขาให้เคารพภักดีต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเพียงอย่างเดียว
สัญญาณที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อมุสลิมชาวหุยมากยิ่งขื้นไปกว่าเดิมก็คือ การที่รัฐบาลท้องถิ่นของหนิง-เซี่ยได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายกับรัฐบาลซินเจียง เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งนายจาง อวิ้นเซิง หัวหน้าท้องถิ่นประจำหนิ่งเซี่ยได้ไปเยี่ยมเยือนซินเจียงเมื่อเร็วๆ นี้ "เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ถึงวิธีการที่ซินเจียงสามารถต่อสู้กับการก่อการร้าย และมีการจัดระเบียบทางศาสนาได้อย่างไร? ซึ่งนายจางตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า “ความก้าวหน้าของโครงการต่อต้านการก่อการร้ายของซินเจียงที่ประสบความสำเร็จนี้ มันช่างเป็นการคุ้มค่าที่เราจะเรียนรู้” นายอวิ้นเซิง กล่าว
ชาวหุยเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่กันกระจัดกระจาย และมีการอยู่รวมกันหนาแน่นแถวเขตปกครองตนเองเผ่าหุย เมืองหนิงเซี่ย แต่ก็มีชาวหุยในมณฑลอื่น เช่นที่กานซู่ ชิงห่าย ยูนนาน เหอเป่ย ชานตง และเหอหนาน การสำรวจประชากรครั้งที่ 5 ของจีน พบว่าชนกลุ่มน้อยชาวหุยมีทั้งสิ้น 9,816,802 คน
ชื่อเต็มของชนเผ่าหุยคือ “หุยหุย” ชาวหุยเป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ารับนับถืออิสลาม ตั้งแต่ศาสนานี้เริ่มเข้ามาในจีนยุคแรกในสมัยราชวงศ์ถัง เริ่มจากการที่พ่อค้าอาหรับและชาวเปอร์เซียมาลงหลักปักฐานที่กว่างโจว เฉวียนโจว หางโจว หยางโจว และฉางอาน
ส่วนชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในเตอร์กิสถานตะวันออก หรือทางการจีนเรียกแผ่นดินนี้ว่า เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เข้ารับศาสนาอิสลามหลังชาวหุย ซึ่ง “เดิมชาวอุยกูร์อยู่แถบเกาชาง เหอซี พวกนี้นับถือพุทธมาก่อน ชาวอุยกูร์หันมานับถือศาสนาอิสลามตามชาวหุยในกลางสมัยราชวงศ์หมิง และด้วยความสัมพันธ์ทางศาสนานี่เอง ทำให้มีการหลอมรวมคนทั้ง 2 กลุ่มเข้าด้วยกัน”
สมัยราชวงศ์หยวน พวกขุนนาง คหบดี ชนชั้นสูงของมองโกลนับถือศาสนาอิสลามกันมากขึ้น ดังนั้น ศาสนาอิสลามในจีนจึงมีผู้นับถือที่เป็นทั้งพวกหุย อุยกูร์ และมองโกล
ที่มา มุสลิมะฮ ออสเตรเลีย , Badryah Poompadit