ชาวมุสลิมที่เคยถูกจับเข้าค่ายกักกันปรับทัศนคติในเขตปกครองตนเองซินเจียง ประเทศจีน
ชาวมุสลิมที่เคยถูกจับเข้าค่ายกักกันปรับทัศนคติในเขตปกครองตนเองซินเจียง ประเทศจีน เล่าถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เขาต้องเผชิญในค่ายนั้น ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้กินหมูในวันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา บีบให้ร้องเพลงชาติทุกวันและต้องพูดแต่ภาษาจีน รวมถึงห้ามไม่ให้ไว้เคราหรือละหมาดเพราะเจ้าหน้าที่มองว่ามันเป็น "การทำให้เป็นพวกหัวรุนแรงศาสนา"
26 มี.ค. 2562 โอมีร์ เบกาลี ผู้มีเชื้อสายคาซัคสถาน อดีตผู้เคยถูกจับเข้าปรับทัศนคติในค่ายกักกันชาวมุสลิมที่จีนเปิดเผยกระบวนการปลูกฝังลัทธิความเชื่อในนั้น เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนในตอนเช้าที่มีการเปิดเพลงปลุกใจชาตินิยม มีกระบวนการให้ผู้ต้องขังวิจารณ์ตนเอง และมักจะจบลงด้วยการให้ทานอาหารที่มีแต่หมู
โอมีร์ถูกจับเข้าค่ายกักกันปรับทัศนคติเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในเมืองคาราเมย์ เขตปกครองตนเองซินเจียงก่อนที่จะหนีไปตุรกีเมื่อปีที่แล้ว (2561) ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติ (UN) เคยเปิดเผยว่าทางการจีนคุมขังชาวมุสลิมราว 1 ล้านรายในค่ายกักกันในมณฑลซินเจียง มณฑลที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอุยกูร์ที่นับถือศาสนาอิสลาม ในพื้นที่นี้ยังเป็นพื้นที่ๆ รัฐบาลกลางของจีนเข้าไปใช้อำนาจควบคุมหนักมากด้วย
แม้ทางการจีนจะปฏิเสธเรื่องค่ายกักกันโดยอ้างว่ามันเป็น "ศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพ" เพื่อลดระดับความหัวรุนแรงของชาวมุสลิมในพื้นที่ แต่โอมีร์ก็บอกว่าข้ออ้างของทางการจีนไม่เป็นความจริง เพราะสิ่งที่เขาเผชิญมาเป็นบาดแผลทางใจมากกว่าจะเป็นการฝึกอบรมให้การศึกษา เขาบอกว่าค่ายกักกันที่เขาถูกจับเข้าไปมีเป้าหมายอย่างเดียวเท่านั้นคือการทำให้ผู้ต้องขังละทิ้งความเชื่อทางศาสนาของตนเอง
โอมีร์เล่าว่า 7.00-7.30 น. ของทุกวัน พวกเขาต้องหันหน้าเข้ากำแพงแล้วร้องเพลงชาติจีนพร้อมกันกับคน 40-50 คน ตัวเขาเองไม่ได้อยากจะร้องเพลงนี้ แต่พอทำซ้ำเดิมอยู่ทุกวันมันก็เริ่มซึมซับเข้าไปในตัว ถึงแม้ว่าจะผ่านไปแล้วหนึ่งปี เพลงชาติจีนก็ยังดังอยู่ในหัวเขา
ปัจจุบันโอมีร์อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เรียบๆ ในอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในตอนที่เขาให้สัมภาษณ์เขาสวมหมวกสักลายซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายตามประเพณีของชาวคาซัค เขาเป็นชาวอุยกูร์ที่เกิดในซินเจียงแต่มีเชื้อสายคาซัคจากพ่อแม่ เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยจำนวนมากในจีนเขาเดินทางไปหางานทำที่คาซัคสถานในปี 2549 และทำให้ได้สัญชาติคาซัคที่นั่น
แต่ปัญหาเกิดกับโอมีร์ในปี 2560 เมื่อเขาถูกจับกุมในซินเจียงขณะกลับมาทำธุระให้กับบริษัทท่องเที่ยวคาซัคที่เขาทำงานให้ เขาถูกขังไว้ในคุกเป็นเวลาเจ็ดเดือนในข้อหา "ให้ความช่วยเหลือการก่อการร้าย" ก่อนที่จะถูกส่งไปยังค่ายกักกัน
ในค่ายกักกันนั้นทุกคนที่เป็นผู้ต้องขังชาวมุสลิมถูกบังคับให้กินหมูในทุกวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ในขณะที่การกินหมูนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาระบุห้ามไว้ โอมีร์เล่าอีกว่าเจ้าหน้าที่ในค่ายมักจะเรียกพวกเขาว่า "นักเรียน" ภาษาอื่นนอกจากภาษาจีนถูกห้ามพูด พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ละหมาดและไว้เครา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตีความสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น "การทำให้เป็นพวกหัวรุนแรงทางศาสนา"
หลังจากที่ต้องอยู่ในค่ายกักกันสองเดือน โอมีร์ก็สามารถออกมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากการแทรกแซงโดยทางการคาซัคสถาน ในขณะที่คนจำนวนมากพยายามไม่พูดอะไรเกี่ยวกับค่ายกักกันเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของครอบครัวหรือคนรู้จักที่อยู่ในจีน แต่โอมีร์เดินสายพูดถึงเรื่องนี้ไปทั่วโลก ทั้งนี้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับพ่อแม่และพี่น้องเขาที่ยังอยู่ในจีนเลย แต่เขาได้ออกจากคาซัคสถานเพื่อตั้งรกรากในตุรกีร่วมกับภรรยาและลูกๆ ของเขา โอมีร์บอกว่าเขาต้องการจะสร้างระยะห่างระหว่างเขากับประเทศจีนให้มากขึ้น
คุณอาจกำลังสนใจสิ่งนี้
- ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เสนอมอบสัญชาติให้แก่มุสลิมโรฮิงยา
- ญี่ปุ่น เดินขบวนเรียกร้อง ขอให้จีนหยุดฆ่า...มุสลิมอุยกูร์
- รมต.เยอรมัน โร่ขอโทษหลังเสิร์ฟ 'ไส้กรอกเลือดหมู' ในการประชุมอิสลาม
- ผู้หญิงมุสลิมอุยกูร์ เปิดเผยนาทีถูกทรมานในค่ายกักกัน
- “จีน” ปฏิเสธข่าว ตั้งค่ายกักกัน “มุสลิมอุยกูร์”
ที่มา prachatai