ก่อนที่จะออกจากบ้านที่อยู่อาศัยมานานถึง 21 ปี ชาวอาร์เมเนียจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านที่จะต้องถูกส่งกลับให้ฝ่ายอาเซอร์ไบจาน ได้จุดไฟเผาบ้านของพวกเขาที่สร้างอยู่ในเขตยึดครอง
สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: ข้อตกลงหยุดยิง อาเซอร์ไบจาน-อาร์เมเนีย สร้างความร้าวฉานระหว่างชาติพันธุ์และศาสนา
กัลป์บาจาร์ / อาเซอร์ไบจาน – ก่อนที่จะออกจากบ้านที่อยู่อาศัยมานานถึง 21 ปี ชาวอาร์เมเนียจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านที่จะต้องถูกส่งกลับให้ฝ่ายอาเซอร์ไบจาน ได้จุดไฟเผาบ้านของพวกเขาที่สร้างอยู่ในเขตยึดครอง
หมู่บ้านนี้ได้ถูกส่งกลับคืนสู่การควบคุมของฝ่ายอาเซอร์ไบจานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพราะตั้งอยู่ในเขตแดนที่อยู่ในข้อตกลงหยุดยิง หลังจากเกิดการต่อสู้อย่างเข้มข้นระหว่างอาร์เมเนีย กับ อาเซอร์ไบจาน เป็นเวลาราว 6 สัปดาห์ โดยชาวอาร์เมเนียราว 600 คน ในหมู่บ้านนี้ เกิดความหวาดกลัวและโกรธแค้นอย่างมาก จนตัดสินใจทำลายบ้านที่เคยอยู่อาศัย
แต่เดิมหมู่บ้าน Karvachar (ในภาษาอาร์เมเนีย) เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอาเซอร์ไบจานตามกฎหมาย แต่ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวขาติพันธุ์อาร์เมเนียตั้งแต่ปี 1994 หลังสิ้นสุดสงครามในภูมิภาค นาโกร์โน-คาราบัค (Nagorno-Karabakh) สงครามครั้งนั้นได้ทำให้อาณาเขตโดยรอบอันมากมายของอาเซอร์ไบจาน ตกอยู่ในการยึดครองของอาร์เมเนีย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เกิดการปะทะกันประปรายระหว่างกองกำลังอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนีย อยู่เนือง ๆ จนเมื่อปลายเดือนกันยายน ที่ผ่านมา การต่อสู้เริ่มขยายอย่างเต็มรูปแบบ และฝ่ายอาเซอร์ไบจานได้รุกคืบจนสามารถยึดเมือง Shusha ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ และยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของวัฒนธรรมอาเซอร์ไบจานมาช้านาน
2 วันหลังจากที่อาเซอร์ไบจานประกาศการยึดครอง Shusha อารเมเนียและอาเซอร์ไบจานได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง โดยมีรัสเซียเป็นคนกลางประสานงาน ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าว ดินแดนที่อาร์เมเนียยึดครองนอกพรมแดนที่เป็นทางการของ นาโกร์โน-คาราบัค จะต้องถูกส่งกลับสู่อาเซอร์ไบจาน
ในอดีตชาวมุสลิมอาเซริส และชาวอาร์เมเนียที่นับถือศาสนาคริสต์ เคยอาศัยอยู่ร่วมกันมานานถึงราว 20 ปี แต่ถึงแม้จะมีการหยุดยิงแล้ว การต้องอพยพย้ายออกไปตามข้อตกลงกลายเป็นการสร้างความเกลียดชังทางชาติพันธุ์ให้เพิ่มขึ้น เพราะชาวอาร์เมเนียที่จะต้องย้ายออกไปยังไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางไปที่จุดหมายปลายทางใด และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ดูเหมือนจะเลือนลางเต็มที
ที่มา: www.apnews.com