สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: พนักงานเฟสบุ๊กสุดทน! ให้ยกเลิกสกัดเนื้อหาปาเลสไตน์
ลอนดอน – เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พนักงานเฟสบุ๊กประมาณ 200 คน ลงนามในจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องให้เฟสบุ๊กดำเนินมาตรการเพื่อรับประกันว่า จะปฏิบัติต่อเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์อย่างเท่าเทียมกัน และให้แน่ใจว่า โพสต์เกี่ยวกับปาเลสไตน์จะไม่ถูกลบออกอย่างไม่เป็นธรรม หรือถูกจำกัดให้มีผู้เห็นน้อยลงในฟีด
ก่อนหน้านี้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการเซ็นเซอร์เนื้อหาของชาวปาเลสไตน์ และสกัดกั้นโพสต์ที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซ่า
จดหมายดังกล่าวยังระบุว่า มีการเน้นโดยพนักงาน สื่อมวลชน และสมาชิกสภาคองเกรส ที่สะท้อนให้เห็นการจัดอันดับ App Store ที่ลดลง “ผู้ใช้เฟสบุ๊กและชุมชนของเรารู้สึกว่า เราขาดการยึดมั่นในคำมั่นสัญญา ที่จะปกป้องการแสดงออกอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับสถานการณ์ในปาเลสไตน์” และว่า “พวกเราเชื่อว่า เฟสบุ๊กสามารถ และควรทำมากกว่านี้ เพื่อทำความเข้าใจผู้ใช้ และทำงานเพื่อสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงที่เกิดความรุนแรงในฉนวนกาซ่า และที่อื่น ๆ ในปาเลสไตน์ โพสต์ที่เกี่ยวข้องกับปาเลสไตน์จำนวนมหาศาลถูกเซ็นเซอร์โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้ง เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ และ อินสตาแกรม นักเคลื่อนไหวที่ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเผยแพร่ให้โลกรู้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปาเลสไตน์ พบว่าโพสต์ของพวกเขาถูกลบออก และบัญชีถูกปิดการใช้งานด้วย
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ได้ประสานงานกันและเปิดแคมเปญที่พุ่งเป้าไปยังเฟสบุ๊ก เพื่อแสดงการต่อต้านต่อการเซ็นเซอร์เนื้อหา โดยพยายามที่จะลดอันดับของแอพเฟสบุ๊ก ใน App Store ของ Apple และ Google Play ของระบบแอนดรอยด์ แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในการลดอันดับของแพลตฟอร์มเหลือ 1.9 ดาว บน App Store หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม อินสตาแกรม ได้ออกมาประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีการแสดงเนื้อหาให้ดีขึ้น
ที่มา: www.arabnews.com
http://news.muslimthaipost.com/news/35343
- อิสราเอลไม่พอใจ! ฟิลิปปินส์โหวตหนุนตั้งสอบอาชญากรรมกาซา
- รมต.ซาอุฯ ปกป้องสั่งให้มัสยิดกระจายเสียงเฉพาะอะซาน
- เปิดผลโพล อเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนรัฐปาเลสไตน์
- อิสราเอลถล่มกาซา UNHRC ตรวจสอบเข้มอาจเป็น 'อาชญากรรมสงคราม'
- 'มัลดีฟส์'ระงับสัมพันธ์-คว่ำบาตรอิสราเอลทั้งหมด
- อิสราเอล โว! ถล่มฮามาสยับ ภารกิจบรรลุเป้า 200 ราย