หลวงพี่ ชี้แจง ดรามาป้ายห้ามนำสิ่งของที่เครื่องหมายฮาลาลเข้าวัด ไม่เจตนาร้ายสร้างความแตกแยก
หลวงพี่ แจง ป้ายห้ามฮาลาลเข้าวัด ไม่เจตนาร้าย
หลวงพี่ ชี้แจง ดรามาป้ายห้ามนำสิ่งของที่เครื่องหมายฮาลาลเข้าวัด ไม่เจตนาร้ายสร้างความแตกแยก
จากกรณีที่โลกโซเชียลได้มีการแชร์ภาพสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ได้ติดป้ายที่มีข้อความว่า "วัดเป็นเขตพุทธสถาน ขอความร่วมมือให้ญาติโยมทุกท่าน กรุณาอย่านำมาถวายพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ห้ามนำเข้าวัด ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ต่างศาสนานี้ เข้ามาใช้ภายเขตวัดนี้โดยเด็ดขาด" พร้อมกับมีตราสัญลักษณ์ฮาลาล และมีกากบาททับอยู่ จนกระทั่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์แก้วนาคราชแก่นธรรม (ธ) บ้านน้ำคำ หมู่ที่ 10 ต.น้ำเขียว อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ซึ่งเมื่อเข้ามาถึงภายในวัดก็จะเห็นป้ายดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่บริเวณปากทางที่จะเข้าไปถึงศาลากลางวัดอย่างเห็นได้ชัด
จากการสอบถาม พระมหาธีรเวทย์ สุรจิตโต อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ของที่พักสงฆ์แก้วนาคราชแก่นธรรม (ธ) แห่งนี้ กล่าวว่า ตนบวชมาได้ 17 พรรษาแล้ว และวัดแห่งนี้ก็ได้สร้างมาตั้งแต่เดือน พ.ย. ปี 2555 จากที่ดินของบิดาตนถวายให้ มีเนื้อที่ทั้งหมด 30 ไร่ ปัจจุบันมีพระร่วมจำพรรษา 3 องค์
สำหรับเรื่องป้ายที่ทางวัดทำขึ้นจนเป็นกระแสทางโซเชียลนั้น ขอชี้แจงว่าที่ทำขึ้นมานั้น เพราะต้องการให้รู้ว่าเป็นเขตพุทธสถานเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความแตกแยกอะไรให้ญาติพี่น้องได้ทะเลาะกัน คือสถานที่นี่เป็นพุทธสถาน
ญาติพี่น้องเราทุกคนร่วมกันถวาย เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ของพระศาสนา ขององค์พระมหากษัตริย์ เราพี่น้องชาวพุทธเราย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าสร้างเพื่อหวังบุญกุศล จึงต้องการสงวนให้เป็นเขตพุทธสถานจริงๆ ก็คือสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
ส่วนการที่ญาติพี่น้องหรือญาติโยมทุกท่านที่เข้าใจและเห็นต่างกันไป อันนั้นก็เป็นความเห็นที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นได้ตามหลักของประชาธิปไตย อันนี้อาจารย์ก็ได้หวงไม่ได้ห้าม เพราะว่าวัดก็คือเขตรับผิดชอบขอองท่านที่ต้องดูแล เพียงแค่ขอความร่วมมือเท่านั้นเอง และไม่ได้ห้ามญาติพี่น้องหรือใครว่าไม่ให้ไปบริโภค
คืออาจารย์ก็ไม่ได้ห้าม คือเพียงต้องการให้รู้ว่าเป็นเขตพุทธสถาน ให้มีเครื่องหมายคือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวพุทธเราทุกคนทุกประเทศที่นับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระศาสนา ส่วนต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นก็เป็นความเห็นก็เป็นธรรมดาของโลก ซึ่งมันมี 2 อย่างคือ สรรเสริญกับนินทาเท่านั้น เหมือนดีกับชั่ว เหมือนกลางวันกับกลางคืน เราต้องเข้าใจหลักธรรมตัวนี้
ถ้าเราเข้าใจได้เราก็อยู่กับโลกได้ แล้วเราจะไม่เดือดร้อนใจ ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้นั้นก็จะเห็นความสุขที่แท้จริง ก็คือจิตดวงนั้นก็จะเห็นความสงบ พระองค์ไม่เคยสอนให้เบียดเบียนผู้ใด และสิ่งที่อาจารย์บวชมาตลอดชีวิตจนถึงวันนี้ ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนผู้อื่น มีแต่พาญาติพี่น้องไหว้พระสวดมนต์ เพื่อเขาจะได้พึ่งสิ่งเหล่านั้น
ส่วนความเชื่อเป็นเรื่องของบุคคล อันนี้เราก็ไม่ได้ว่า ไม่ได้ตำหนิอะไร แต่นี่เป็นความเห็นของอาจารย์เอง คือขอเฉพาะบริเวณนี้ ไม่ได้ไปห้ามอะไรทั่วไป ซึ่งในป้ายก็ระบุแต่เฉพาะที่นี่ ถึงญาติพี่น้องจะเอามาก็จริง แต่อาจารย์ก็รับให้ เพราะบางทีเขาไม่รู้ เราจะไปพูดปฏิเสธน้ำใจเขาไม่ได้ เพราะเขาอุตส่าห์ตั้งใจมาหา แล้วเงินแต่ละบาทกว่าจะได้มา
คือทั้งหมดนี้อาจารย์ต้องการเพียงบ่งบอกสัญลักษณ์พุทธศาสนา ต้องการสงวนไว้ให้พี่น้องเราชาวพุทธตระหนักในเรื่องนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าไปห้ามอะไรนั้นไม่มี ป้ายนี้ก็เพิ่มจะทำได้ 2-3 วันเท่านั้นเอง
ส่วนที่ว่าพระผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างไรบ้างนั้น ซึ่งท่านก็คงอาจจะยังไม่เห็น หรือหากเห็นอาจารย์ก็ต้องขอขมาด้วย ณ โอกาสนี้ สำหรับหลังจากทำป้ายนี้ออกมาแล้ว ก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็มี บางวัดบางที่ก็ต้องการจะเอาไปติดไว้ที่วัดด้วยก็มี คือท่านก็เห็นความตั้งใจและเจตนาเราคือเป็นสัญลักษณ์ เป็นเขตพุทธสถานเท่านั้นเอง
ส่วนทางด้านชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กับทางเข้าวัด คือ นางอารีย์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านน้ำเขียว ก็ได้ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้มันไม่น่าจะเป็นข้อห้ามนะ เพราะอาหารฮาลาลก็เป็นอาหารที่ทานได้ศาสนาพุทธก็ทานได้ ถ้ามันไม่ขัดต่อศาสนา คือทำตัวให้เป็นกลาง ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก ยิ่งเป็นรูปภาพที่มันได้ออกมาเป็นสาธารณะแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเจตนาแบบไหน จะสื่ออะไร
แต่ว่าถ้ามองแล้วเราเป็นพุทธหรืออิสลามก็แล้วแต่ มันก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะห้ามหรือต้องห้ามอะไรเกี่ยวกันอาหารพวกนี้ เพราะใส่บาตรไปก็ฉันรวมทั้งนั้นแหละ ไม่ได้แบ่งแยกอะไร เพราะจริงๆ แล้วเครื่องปรุงอะไรก็ล้วนแล้วแต่มีตราสัญลักษณ์ฮาลาลอยู่ดี
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบ ท่านพระครูบุญเขตวรคุณ (สวน) ติสโร ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ และเป็นเจ้าอาวาสวัดอิสาน ที่บ้านนาวอง ต.ไผ่ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้เปิดเผยเพียงสั้นๆ ว่า เรื่องนี้อาตมายังไม่ทราบเรื่อง และหากมีเรื่องมาถึงก็จะรับให้คณะกรรมการรับไว้พิจารณา
ด้าน นายประสงค์ ทองประ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สุรินทร์ กล่าวว่า ที่พักสงฆ์แห่งนี้เป็นที่ส่วนบุคคล จะทำอะไรก็ทำได้ ตนจะไปห้ามหรือไปไล่ก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนตนมองว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคล พระทำไปในฐานะสมาชิกชาวพุทธคนหนึ่ง ซึ่งตัวพระเองก็อาจจะมองว่า ไม่อยากสนับสนุนกิจกรรมของต่างศาสนาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของพระท่าน
ส่วนเรื่องกฎหมายหรือวินัยสงฆ์ ตนมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด แต่อาจไม่เหมาะสม เพราะอาจจะส่อไปในทิศทางสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนาก็เป็นได้ หากสังคมมองว่าอาจจะส่อไปในทิศทางการเข้าใจผิดในทางศาสนา ในส่วนตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ที่ต้องลงไปดู ซึ่งสำนักพุทธเองก็ไม่มีอำนาจไปทำอะไร
ที่มา: www.sanook.com