ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู? ฉบับเข้าใจง่ายม้วนเดียวจบ เหตุผลเดียวกับที่ศาสนาพุทธห้ามกินสัตว์บางประเภท เปิดคำตอบจากพระไตรปิฏก โดยระบุว่า
ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู เข้าใจง่ายม้วนเดียวจบ!!
จากเฟสบุ๊ก สายัณห์ สุขจันทร์ ได้โพตส์บทความดีๆ ถึงเรื่อง ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู? ฉบับเข้าใจง่ายม้วนเดียวจบ เหตุผลเดียวกับที่ศาสนาพุทธห้ามกินสัตว์บางประเภท เปิดคำตอบจากพระไตรปิฏก โดยระบุว่า...
●เปิดคำตอบจากพระไตรปิฏก
●ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู ? ฉบับเข้าใจง่ายม้วนเดียวจบ
ผมจะไม่บอกว่าหมูเป็นสัตว์สกปรก เพราะสัตว์อีกหลายชนิดบนโลกนี้ก็สกปรก เเละหมูอาบน้ำให้มันก็ดูน่ารักดีตัวสีชมพูด้วย
ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู
เหตุผลที่เเท้จริงหรือสาเหตุหลักที่อิสลามห้ามทานหมูก็คือ เหตุผลเดียวกับที่ ศาสนาพุทธห้ามกินสัตว์ บางประเภทนั้นเองครับ
อ้าวพี่น้องพุทธหลายคนอาจตกใจ พุทธห้ามกินสัตว์บางชนิดด้วยหรือ มีซิครับ จาก....
● ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 5 พระวินัยปิฎก เล่มที่ 5 มหาวรรค ภาค 2 ได้กล่าวถึงเรื่องเนื้อ 10 ชนิด ที่พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุฉันดังนี้
1. ห้ามฉันเนื้อมนุษย์
ด้วยเหตุแห่งอุบาสิกาสุปปิยามีศรัทธาเลื่อมใสภิกษุถึงแก่สละเนื้อของตนเอง นำไปต้มถวายแก่ภิกษุผู้อาพาธ จนตัวเองต้องเจ็บป่วย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสมีอยู่ เขาสละเนื้อของเขาถวายก็ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย อนึ่ง ภิกษุยังมิได้พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
2. ห้ามฉันเนื้อช้าง
ในสมัยนั้น ช้างหลวงล้มลงหลายเชือก และเมื่ออัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อช้าง และถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เมื่อภิกษุฉันเนื้อช้าง ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ช้างเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ คงไม่ทรงเลื่อมใสต่อภิกษุเหล่านั้น
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อช้าง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
3. ห้ามฉันเนื้อม้า
สมัยต่อมา ม้าหลวงตายมาก และเมื่ออัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อม้า และถวายแก่ภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เมื่อภิกษุฉันเนื้อม้า ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ม้าเป็นราชพาหนะ ถ้าพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ คงไม่เลื่อมใสต่อต่อภิกษุเหล่านั้น
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อม้า รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
4. ห้ามฉันเนื้อสุนัข
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้อสุนัข และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เมื่อภิกษุทั้งหลายฉันเนื้อสุนัข ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้อสุนัขเล่า เพราะสุนัขเป็นสัตว์น่าเกลียด น่าชัง
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อสุนัข รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
5. ห้ามฉันเนื้องู
สมัยต่อมา ถึงคราวอัตคัดอาหาร ประชาชนพากันบริโภคเนื้องู และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต เมื่อภิกษุทั้งหลายฉันเนื้องู ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ฉันเนื้องูเล่า เพราะงูเป็นสัตว์น่าเกลียดน่าชัง รวมทั้งพระยานาคชื่อสุปัสสะก็เข้าไปทูลขอว่าอย่าฉันเนื้องู
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
6. ห้ามฉันเนื้อราชสีห์
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าราชสีห์แล้วบริโภคเนื้อราชสีห์ และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อราชสีห์แล้วอยู่ในป่า ฝูงราชสีห์ฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อราชสีห์
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อราชสีห์ รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
7. ห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือโคร่งแล้วบริโภคเนื้อเสือโคร่ง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเสือโคร่งแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือโคร่งฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือโคร่ง
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือโคร่ง รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
8. ห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือเหลือง แล้วบริโภคเนื้อเสือเหลือง และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือเหลืองแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือเหลืองฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือเหลือง
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือเหลือง รูปใดฉันต้องอาบัติทุกกฎ”
9. ห้ามฉันเนื้อหมี
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าหมีแล้วบริโภคเนื้อหมี และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันหมีแล้วอยู่ในป่า เหล่าหมีฆ่าพวกภิกษุเสียเพราะได้กลิ่นเนื้อหมี
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อหมี รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
10. ห้ามฉันเนื้อเสือดาว
สมัยต่อมา พวกพรานฆ่าเสือดาวแล้วบริโภคเนื้อเสือดาว และถวายแก่พวกภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต พวกภิกษุฉันเนื้อเสือดาวแล้วอยู่ในป่า เหล่าเสือดาวฆ่าพวกภิกษุเสีย เพราะได้กลิ่นเนื้อเสือดาว
พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อเสือดาว รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฎ”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 178 ตุลาคม 2558 โดย กองบรรณาธิการ)
ดังนั้นเข้าใจเเล้วซินะครับว่า ในศาสนาพุทธก็มีการห้ามกินสัตว์บางประเภท ซึ่งหากศึกษาหลักคำสอนของเเต่ละศาสนาก็จะมีบทบัญญัติคำสอนเรื่องอาหารต้องห้าม เกือบทุกศาสนานะครับ เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ตามคำสอนดั่งเดิมคำภีร์เดิม ก็จะมีบทบัญญัติห้ามกินหมูเช่นกันครับ
และหากพิจารณาถึงคำสอนในหมวดว่าด้วยเรื่องอาหารต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นของ อิสลาม พุทธ คริสต์ ฯลฯ สาระสำคัญของการที่ศาสนาห้ามกินเนื้อสัตว์บางประเภทบางชนิดนั้น ล้วนมีเป้าหมายเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพเเละชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นเลยครับ
ดังที่เราเห็นว่าพระพุทธเจ้า ห้ามกินเสือ ห้ามกินหมี ห้ามกินงู ก็เพราะเกรงว่า จะเกิดอันตรายเเก่มนุษย์เอง
1. ในตอนที่ไปล่าสัตว์พวกนี้ อาจทำร้ายมนุษย์ให้ถึงเเก่ความตายได้ เพราะเป็นสัตว์มีพิษมีเคี้ยว
2. เมื่อกินเนื้องูเนื้อสัตว์ไปแล้วพระสงฆ์ที่ต้องเดินธุดงต้องนอนพักค้างเเรมในป่า เวลาเหงื่อออกมาอาจมีกลิ่นของเสือของงู ของหมีติดตัวอยู่ สัตว์พวกนี้อาจคิดว่าเป็นกลิ่นพวกเดียวกันเเล้วอาจเข้ามาทำร้ายได้
ฉันใดก็ฉันนั้น การที่อิสลามห้ามกินเนื้อหมูก็ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันกับ ที่ศาสนาพุทธห้าม กินงู กินเสือ กินหมี คือ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพเเละชีวิตของมนุษย์ ซึ่งอิสลามได้มองลึกลงไปในเรื่องของวิทยาศาสตร์สุขภาพภายในร่างกายมนุษย์ด้วยว่า อาหารชนิดใดมีประโยชน์เเละไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้คุณให้โทษมากกว่ากัน
มาถึงตรงนี้ขอทำความเข้าใจกับพี่น้องต่างศาสนิกก่อนว่า เมื่อท่านมองคำสอนหรือบทบัญญัติปรัชญาของศาสนาใด ท่านต้องวาง ชุดความเชื่อของตัวเองลงไว้ก่อน อย่าเอาชุดความเชื่อของเราไปตีกับชุดความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์คนอื่น เพราะมันคนละชุดความเชื่อกันอยู่เเล้ว ยิ่งท่านไปตั้งธงว่า เออ มันต้องเหมือนของเราซิ เเบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเเละไม่จำเป็นต้องถามเรื่องศาสนาอื่นเเล้วครับว่า ทำไม ทำไม ทำไม
เพราะคุณจะไม่มีวันเข้าใจคำตอบเเน่นอน ก็คุณเล่นตอบให้ตัวเองไปตั้งเเต่ต้นเเเล้ว เหมือนผมไปถามเรื่องครอบครัวคุณ เเต่ผมตั้งธงไว้ว่าครอบครัวคุณต้องเป็นเหมือนครอบครัวผมซิ หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องถามอีก ต่างคนต่างคิดต่างปฏิบัติศรัทธาของตนไปเลยดีกว่าครับ
ที่นี้เมื่อเข้าใจเเล้วว่า การจะรู้คำตอบของชุดความเชื่อคนอื่น เราต้องพร้อมเปิดใจรับฟังชุดความเชื่อที่มีสถานะบริบทความเชื่อที่ต่างไปจากเรา เราก็จะได้รับคำตอบว่า
ทำไมอิสลามห้ามทานเนื้อหมู
ที่มุสลิมไม่กินหมู่
● เพราะมุสลิมศรัทธาว่าอัลเลาะฮคือพระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในห้วงจักรวาลนี้รวมถึงสัตว์มนุษย์พืชพันธุ์ต่างๆด้วย ผู้สร้างย่อมรู้ดีว่าอะไรมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ มีคุณมีโทษสำหรับมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างมา
● หมู เป็นสัตว์ที่คำภีร์อัลกุรอ่านบัญญัติว่ามีโทษต่อร่างกายมากกว่าประโยชน์ที่มนุษย์จะได้รับ นั้นเป็นคำสอนเมื่อ 1,400 ปีก่อนโน้น เเต่ปัจจุบันวงการเเพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ตรวจพบว่า ในเนื้อหมู มีพยาธิเเละเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์อย่างมากมายเเละฆ่าเชื้อฆ่าพยาธิได้อยากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆในลักษณะเดียวกัน เช่นพวก วัว เเพะ เเกะ ฯลฯ
“มนุษย์เอ๋ยจงบริโภคสิ่งที่อนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริง มันเป็นศัตรูที่เปิดเผยสำหรับสูเจ้า” จากอัลกุรอาน บทที่ 2 อัล-บะเกาะเราะฮฺ : โองการที่ 168
“แท้จริง พระองค์เพียงแต่ทรงห้ามสูเจ้า (มิให้บริโภค) สัตว์ที่ตายเอง และเลือดและเนื้อของสุกร และที่ถูกเปล่งนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ (เมื่อเชือด) แต่ผู้ใดก็ดีที่อยู่ในภาวะคับขันไม่เจตนาดื้อดึง และมิใช่ละเมิด ฉะนั้นแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
จากอัลกุรอาน บทที่ 16 อันนะหฺลฺ : โองการ 115
● เมื่อประจักษ์ชัดเเล้วว่าในเนื้อหมู ทางที่จะนำไปสู่โทษมากกว่าประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ คำถามที่ว่าทำไมมุสลิมไม่กินหมู นั้น คงได้คำตอบเเล้วนะครับ
เเต่ทั้งนี้พึงรู้เถิดหลักการห้ามบริโภคอาหารบางประเภทบางชนิดในคำสอนของอิสลามนั้น มิได้มีเฉพาะหมูเเต่หมายรวมถึง สัตว์ พืช เเละสิ่งอื่นๆ ที่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายต่อสุขภาพต่อสติปัญญาอิสลามก็ห้ามนะครับ
เช่น สุรา บุหรี่ น้ำกระท่อม อาหารบูด เป็นต้น เเต่โลกใบนี้ก็มีอาหารอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่อิสลามอนุมัติให้กินได้ เเละเชื่อว่ามนุษย์ยังกินไม่ทัน กินไม่หมดเลย เพียงเเค่ไม่กี่อย่างเองที่อิสลามห้าม นะครับ
เเต่หากอธิบายด้วยเหตุผลข้อเท็จจริงเเบบนี้เเล้วยังตั้งเเง่อีก ผมก็ขอถามย้อนไปที่คนตั้งคำถามนะครับว่า เเล้วทำไมคุณไม่กินดินล่ะ ? มนุษย์ทั่วๆไปไม่กินดินล่ะ ? ทั้งๆที่ดินมีธาตุอาหารเยอะเลย ต้นไม้ที่ปลูกในดินโตวันโตคืนเลยนะ กินซิ คุณก็จะตอบว่า อ้าวก็ดินมันไม่ใช่อาหารของมนุษย์มันเป็นอาหารของต้นไม้ ไม่เหมาะที่มนุษย์จะกิน
อ้าวก็นั้นเเละ คำตอบเดียวกันที่ อิสลามไม่กินหมู เพราะหมูไม่ใช่อาหารของมุสลิม อาหารอีกนานาชนิดที่มุสลิมกินได้ เพราะ สัตว์ทุกชนิดไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารหรือเหมาะเเก่การเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ไงครับ จบ มั้ย
● สรุป อิสลามไม่ทานหมูเพราะ
1.เป็นบทบัญญัติห้ามเฉกเช่นบทบัญญัติห้ามของศาสนาอื่นๆในเรื่องของการบริโภคอาหาร
2.เพราะศาสนาอิสลามถือว่าหมู่เป็นสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ เเละหนักไปทางโทษต่อร่างกายมนุษย์มากกว่า
3.ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวกับการเกลียดหมูกลัวหมูไปในทางความเชื่อใดๆที่ล้อเลียนกันเลยครับ ตรงกันข้ามอิสลามกลับเป็นคำสอนที่ก้าวนำวิทยาศาสตร์มานานเเล้วครับ เพราะเรื่องเชื้อโรคในตัวหมูพยาธิในเนื้อหมูอิสลามรู้เเละมีคำสั่งห้ามเพื่อปกป้องคุ้มครองร่างกายสติปัญญาของมนุษย์ ตั้งเเต่เมื่อ 1,400 กว่าปีก่อนโน้น ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่มีเครื่องมือพิสูจน์อะไรได้เลยนะครับโดยเฉพาะเรื่องพยาธิในเนื้อสัตว์เเละเชื้อเเบคทีเรียเชื้อโรคต่างๆ
หวังว่าคงเป็นคำตอบให้กับผู้เเสวงหาคำตอบด้วยปัญญานะครับ
ขอบคุณครับ
FB สายัณห์ สุขจันทร์