มีการกระจายเสียงอะซานจากบนหลังคามัสยิดในมินเนโซต้า ดังก้องสะท้อนทั่วพื้นที่ เป็นครั้งแรกในเดือนรอมฎอน 2020 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา
สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์: บันทึกประวัติศาสตร์ เสียงอะซานครั้งแรกในรัฐมินเนโซต้า สหรัฐอเมริกา
มีการกระจายเสียงอะซานจากบนหลังคามัสยิดในมินเนโซต้า ดังก้องสะท้อนทั่วพื้นที่ เป็นครั้งแรกในเดือนรอมฎอน 2020 เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา ในขณะที่สมาชิกชุมชนมุสลิมกำลังเตรียมต้อนรับเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ
เสียงอะซานดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 24 เมษายน และหลังจากนี้จะมีการกระจายเสียงการอะซานวันละ 5 ครั้ง ตลอดเดือนรอมฎอน
สมาชิกในชุมชนกล่าวว่า เสียงอะซานในแบบธรรมดา กลายเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองมินนีอาโปลิส และเมืองใหญ่หลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ในขณะที่เสียงอะซาน ถูกกระจายเสียงอย่างแพร่หลายในทั่วตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และสถานที่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา จะได้ยินเสียงอะซานเฉพาะในมัสยิด หรือในชุมชนมุสลิมเท่านั้น
อิหม่ามอับดิสลาม อาดัม ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมัสยิด ดาร์ อัล-ฮิจเราะฮ์ ซึ่งเป็นแหล่งต้นของการกระจายเสียงอะซานครั้งนี้ กล่าวว่า “แน่นอนว่าต้องรู้สึกตื่นเต้น” และว่า บางคนมองว่า “เป็นเรื่องต้องบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ที่การกระจายเสียงอะซานเกิดขึ้นในชั่วชีวิตของเขา”
เญลานี ฮุสเซน ผู้อำนวยการสภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (CAIR) กล่าวว่า การอะซานจะหมุนเวียนกันไปในมัสยิดต่าง ๆ ทั่วเมือง และคาดว่าเสียงอะซานจะได้ยินเข้าหูคนหลายพันคนในละแวก Cedar-Riverside ในมินนีอาโปลิส
หลายปีก่อนเคยมีการหารือกันว่าจะทำการขยายเสียงการอะซาน แต่ครั้งนี้ยิ่งเป็นเรื่องที่กดดันมากขึ้น เมื่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า บีบบังคับให้มัสยิดต้องปิดตัวลง และชาวมุสลิมต้องปิดตัวอยู่แต่ในบ้าน ฮุสเซนกล่าวว่า “เราต้องการให้เสียงอะซานได้สัมผัสผู้คนที่มักจะมารวมตัวกันที่มัสยิดเป็นประจำในเดือนรอมฎอน” และ “หากเราไม่สามารถรวมตัวกันได้ในตอนนี้ อย่างน้อย เสียงอะซานที่ดังสะท้อนก้องจะสามารถสื่อสัมพันธ์ถึงการอยู่ร่วมกันในช่วงที่ยากลำบาก รวมทั้งเป็นการปลุกปลอบใจให้กัน และเชื่อมโยงกับความต้องการทางจิตวิญญาณของสมาชิกในชุมชนด้วย”
ละแวก ซีด้าร์-ริเวร์ไซด์ เป็นพื้นที่ที่มีประชาชนหนาแน่นของเมืองมินนีอาโปลิส ซึ่งมีประวัติว่าเป็นจุดผ่านเข้ามาของผู้อพยพมากมาย และปัจจุบันเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวโซมาลี และโอโรโม่
ที่มา: www.aljazeera.com