นี่คือเรื่องราวจากใจชาวไทยมุสลิมในใต้เบื้องพระยุคลบาท ความรู้สึกซาบซึ้งและสุขใจยิ่งนักที่ได้เป็นพสกนิกรไทยใต้ร่มพระบารมี โดยครูธีรพจน์ หะยีอาแว ล่ามประจำพระองค์ ในหลวง รัชกาลที่9
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจรอบด้านอย่างต่อเนื่อง และยาวนานกว่า ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์
ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร์ และ “ประชาชนของพระองค์” มิใช่พวกใดพวกหนึ่ง ภาคใดภาคหนึ่ง แต่ทว่าคือทุกคนที่อยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา ล้วนได้รับพระเมตตาเสมอเหมือนกันถ้วนทั่ว
- มัสยิดพระราชทาน ในหลวง ร.9
- “ผู้ว่าน่ะดื้อ” จากอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
- เบื้องลึกแห่งน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ร.9
และนี่คือเรื่องราวจากใจชาวไทยมุสลิมในใต้เบื้องพระยุคลบาท ความรู้สึกซาบซึ้งและสุขใจยิ่งนักที่ได้เป็นพสกนิกรไทยใต้ร่มพระบารมี
โดยครูธีรพจน์ หะยีอาแว ล่ามประจำพระองค์ ในหลวง รัชกาลที่9
“รอยจำของล่ามมลายู”
“วันที่มีโอกาสเป็นล่ามจำเป็น ได้รับรู้ถึงน้ำพระทัยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่ทรงมีพระเมตตาและให้เกียรติคนไทยมุสลิมมาก วันนั้นพวกเราไปรับเสด็จที่วัดสัมภาวาส พอดีฝนจะตกลมพัดแรง พระองค์ตรัสถามผมว่า ถ้าจะให้คนมุสลิมเข้าไปหลบฝนในโบสถ์จะผิดหลักศาสนาหรือไม่ ผมตอบว่าไม่เป็นไรถ้าไม่ได้ไปกราบไหว้พระหรือรูปบูชา พระองค์ท่านจึงรับสั่งว่าถ้างั้นช่วยบอกให้ชาวบ้านเข้าไปเฝ้าท่านในโบสถ์แทนและผมก็ได้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้ ก่อนที่จะเสด็จฯ กลับทรงหันมาตรัสกับผมว่า จะพระราชทานทุนการศึกษาให้ลูกทุกคน ประโยคที่จำได้แม่นยำไม่เคยลืมเลยคือ “ฉันจะไม่ลืมครอบครัวครู” ...หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เป็นล่ามประจำขบวนเสด็จ
“ไปได้”
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้พบกับลุงวาเด็ง ทรงทอดพระเนตรพื้นที่โครงการจุดที่ ๑ สลับกับแผนที่และรับสั่งว่าจะไม่เสด็จฯ ไปจุดที่ ๒ ตามหมายกำหนดการเดิม แต่จะไปอีกที่หนึ่งแทน จากนั้นทรงขับรถยนต์พระที่นั่งด้วยพระองค์เองจนกระทั่งไปถึงสะพานไม้เล็ก ๆ ทรงหยุดรถบนสะพาน เสด็จ ฯ ลงจากรถแล้วทอดพระเนตรแผนที่ มีพระราชกระแสรับสั่งว่า ถ้าไปทางทิศใต้แล้วจะเจอคลอง ๆหนึ่ง มีผู้กราบทูลฯ ว่าไปไม่ได้เพราะไม่มีถนน พระองค์ตรัสคำเดียวว่า “ไปได้” แล้วก็เสด็จฯ นำหน้าก้าวพระบาทเข้าไปในพงหญ้าสูงด้วยพระทัยที่มุ่งมั่นและไม่หวั่นเกรงอันตรายใด ๆ เลย ขบวนที่ตามเสด็จไม่มีใครคาดคิดต่างตกใจจ้าละหวั่นรีบตามเสด็จกันเป็นพัลวันกลัวว่าพระองค์จะได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายเพราะเป็นป่ารกและเวลานั้นก็โพล้เพล้ใกล้จะมืดเต็มทีแล้ว พระองค์เสด็จไปทุกที่ที่คิดว่าจะสามารถช่วยพสกนิกรของท่านได้ แม้แต่กลางดงทากที่ต้องเอายางรัดไว้ที่ปลายกางเกงเพื่อกันทากเข้า พระองค์ก็เสด็จฯ ทุ่มสองทุ่มอยู่ในป่า อย่าว่าแต่พระเจ้าแผ่นดินเลย อย่างเรา ๆ ก็ไม่มีใครอยากไปอยู่ตรงนั้นในเวลานั้น”
“ประจักษ์พยานแห่งรัก”
“ยี่สิบกว่าปีของการได้รับใช้ใกล้ชิด พระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้ผมภูมิใจมากที่สุดซึ่งเป็นรูปธรรมมาถึงปัจจุบันคือการเสด็จไปเยี่ยมมัสยิดกลางปัตตานี ครั้งนั้นผมได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลเชิญเสด็จซึ่งทางสำนักพระราชวังได้ตอบกลับมาว่าได้กราบบังคมทูลแล้วแต่ไม่ทราบว่าจะเสด็จหรือไม่ ในวันที่เสด็จแปรพระราชฐาน ระหว่างรอรับเสด็จที่สนามบินบ้านทอน ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ที่มารับจนกระทั่งเสด็จฯ มาถึงเบื้องหน้าผม ทรงตรัสว่า “ที่เชิญมาน่ะ เราจะไปนะครู” ผมขนลุกซู่ทั้งดีใจทั้งตื้นตันใจ และเมื่อประทับอยู่ในมัสยิดทรงตรัสว่า “มัสยิดนี้สวยงามมาก แต่เริ่มจะคับแคบแล้ว น่าจะได้มีการขยับขยายให้กว้างขึ้นและให้คงรูปแบบนี้ไว้” ไม่นานมัสยิดแห่งนี้ก็ได้รับการต่อเติมเด่นตระหง่านสง่างามกลางเมืองปัตตานี ซึ่งนอกจากจะเป็นประจักษ์พยานในน้ำพระทัยที่รักและห่วงใยประชาชนแล้ว ภาพทีทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้นำศาสนาบริเวณมัสยิดยังแพร่กระจายแสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง”