คลองแสนแสบ คือ ลำน้ำสายประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติบรรพชนมุสลิมในยุครัตนโกสินทร์ หากคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่
มุสลิมกับคลองแสนแสบ ทำไมถึงเรียกคลองแสนแสบ
คลองแสนแสบ คือ ลำน้ำสายประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติบรรพชนมุสลิมในยุครัตนโกสินทร์ หากคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ และคลองบางกอกน้อยเป็นลำคลองที่บรรพชนมุสลิมในยุคกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี มีความเกี่ยวพันและข้องแวะกันอย่างแนบแน่นในด้านประวัติศาสตร์ชุมชน คลองแสนแสบก็คือลำน้ำที่บรรพชนมุสลิมในยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีความผูกพัน และเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่นเช่นกัน เกือบจะกล่าวได้ว่า ฟ้าใหม่ และชีวิตใหม่ของชาวมุสลิมที่พลัดถิ่นและบ้านแตกสาแหรกขาดจากหัวเมืองมลายู ได้เริ่มต้นเยี่ยงประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ณ ลำคลองสายนี้ ซึ่งเรียกว่า “คลองแสนแสบ”
ในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ ฉบับที่ ๙ มีข้อความบันทึกว่า
“แล้วรับสั่งสั่งพระยาราชวังสรรค์ว่าที่สุเหร่ามีกว้างขวางอยู่พอจะผ่อนพักไว้ได้ก็รับเอาพักไว้พอให้มันสบายก่อนเถิดพระยาราชวังสรรค์กราบทูลว่าที่สุเหร่าคลองนางหงส์ ก็กว้างขวางอยู่พอจะพักอยู่ได้รับสั่งว่าเอาเอาพักไว้ที่ในนี้ก่อนเถิดที่มันเจ็บไข้อยู่ก็ดูขอหมอไปรักษาพยาบาลมันด้วยพระยาเทพกับพระยาราชวังสรรค์อุตส่าห์เอาใจใส่ดูแลเบิกข้าวปลาอาหารให้มันกินอย่าให้มันอดหยากซวดโซได้ถ้าข้างหน้ามีครอบครัวส่งข้าวไปอีกมากมายแล้วจึงค่อยจัดแจงเอาไปตั้งที่แสนแสบข้างนอกทีเดียวฯ...“
แสดงว่า “แสนแสบ” เป็นชื่อเรียกสถานที่นอกเขตพระนครมาก่อนแล้ว ส.พลายน้อย เขียนไว้ว่า “ส่วนบางกอกฝั่งขวาหรือกรุงเทพฯ ในปัจจุบันนี้ ที่ดินกลับไม่ค่อยดี เหมาะสำหรับการทำนาเท่านั้น ทั้งนี้จะเห็นว่าทางฝั่งกรุงเทพฯ นั้น มีชื่อเรียกว่า “ทุ่ง” ทั้งนั้น เริ่มแต่ทุ่งพระเมรุหรือสนามหลวงทุกวันนี้ เมื่อก่อนนั้นก็มีการทำนาที่สนามหลวงนี่เหมือนกัน ซึ่งจะได้เล่าต่อไปข้างหน้า นอกจากทุ่งพระเมรุหรือสนามหลวงก็มีทุ่งพญาไท ซึ่งจัดเป็นนาหลวง... นอกจากทุ่งเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีออกชื่อ ทุ่งสามเสน ทุ่งบางกะปิ ทุ่งมหาเมฆ ในพระราชพงศาวดารก็ออกชื่อ ทุ่งแสนแสบ ซึ่งล้วนแต่เป็นทุ่งใหญ่ ๆ มีอาณาเขตกว้างขวางทั้งนั้น...” (ส.พลายน้อย, เล่าเรื่องบางกอก, รวมสาส์น (๒๕๔๓) หน้า ๑๔-๑๕)
ทุ่งแสนแสบกับทุ่งบางกะปิ มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารทั้งคู่ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้าข้าศึกจะเข้ามากรุงเทพฯ ก็ต้องเข้ามาทางด้านตะวันออก เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๙ เจ้าอนุเวียงจันทร์เป็นกบฏในราชวงศ์ลงมากวาดต้อนครัวเมืองสระบุรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ โปรดให้จัดแจงตกแต่งพระนครเตรียมสู้รบข้าศึก ให้เสนาบดีไปตั้งค่ายที่ทุ่งวัวลำพองรายไปจนถึงทุ่งบางกะปิ ในรัชกาลนี้เองกองทัพไทยได้กวาดต้อนพวกแขกจามเขมรมาจากเมืองพนมเปญ โปรดให้พวกครัวแขกจามเหล่านี้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองบางกะปิ แสนแสบเลยไปถึงหลอแหล (ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย, ชื่อบ้านนามเมือง, มติชน (๒๕๔๐) หน้า ๑๗,๑๘)
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๓ ว่า “คลองแสนแสบขุดขึ้นเมื่อเดือน ๒ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีระกา จุลศักราช ๑๑๙๙ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๘๐” คลองแสนแสบแบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ คลองแสนแสบใต้และคลองแสนแสบเหนือ ในจดหมายเหตุ การอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์บันทึกว่า : คลองแสนแสบใต้สอบไม่พบหลักฐานว่าขุดแต่เมื่อใด แต่จะอยู่ในช่วงหลังจากขุดคลองมหานาคแล้วในรัชกาลที่ ๑ คงจะเป็นผู้นำกองอาสาจามชาวเขมรและชาวมลายูปัตตานีขุดคลองแสนแสบช่วงนี้ (คลองแสนแสบใต้)
โดยได้เล็งเห็นว่า ถ้าขุดคลองช่วงนี้เป็นแนวตรง ต้องรื้อถอนหมู่บ้าน สุเหร่า สุสาน และขุดกระดูกทหารนิรนามขึ้นจากสุสาน แยกสุเหร่าและสุสาน การขุดแสนแสบใต้ต่อจากคลองมหานาคจึงไม่เป็นแนวตรง จึงน่าจะมีสาเหตุมาจากกรณีดังกล่าว เมื่อพ้นช่วงชุมชนบ้านครัวแล้วจึงขุดคลองเข้าหาลำกระโดงที่คดโค้งไปมาตาม ธรรมชาติให้กว้างจนไปถึงหัวหมากที่คลองตัน (เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ, อ้างแล้ว หน้า ๒๙) คลองแสนแสบใต้ มีชื่อเรียกค่อนข้างสับสน ดังนี้
สมัยรัชกาลที่ ๓ บันทึกจดหมายหลวงอุดมสมบัติ พระยาราชบังสัน (ฉิม) เรียกคลองช่วงนี้ว่า “คลองนางหงส์”
สมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดฯ ให้สร้างวังสระปทุมที่ริมคลองในพื้นที่นาหลวง เรียกชื่อคลองว่า “คลองบางกะปิ”
สมัยรัชกาลที่ ๕ ตามแผนที่มณฑลกรุงเทพสยาม ร.ศ. ๑๒๐ โดยกรมแผนที่ทหารเรียกชื่อคลองว่า “คลองแสนแสบ”
สมัยรัชกาลที่ ๕ ตามแผนที่บริเวณกรุงเทพฯ ร.ศ. ๑๒๖ เรียกชื่อคลองว่า “คลองมหานาค”
สมัยรัชกาลที่ ๕ ตามแผนที่บริเวณกรุงเทพฯ ร.ศ. ๑๒๙ โดยกรมแผนที่ทหารเรียกชื่อคลองว่า “คลองบางกะปิ”
จดหมายเหตุการณ์อนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๕๒๕ เรียกชื่อคลองว่า “คลองแสนแสบใต้”
ส่วน “คลองแสนแสบเหนือ” เริ่มขุดจากหัวหมากผ่านคลองสามเสนช่วงปลาย (คลองตัน) ผ่านบางขนากไปออกแม่น้ำบางปะกง ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ ว่า
“ครั้นมาถึงเดือน ๒ ขึ้น ๔ ค่ำ (ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๘๐) จึ่งโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดีเป็นแม่กองจ้างจีนขุดคลองตั้งแต่หัวหมากไปถึงบางขนากเป็นทาง ๑,๓๓๗ เส้น ๑๙ วา ๒ ศอก ลึก ๔ ศอก กว้าง ๖ศอก ราคาเส้นละ ๗๐ บาท”
คลองแสนแสบเหนือ มีระยะทางตามแผนที่กรมแผนที่ทหาร ตั้งแต่คลองตัน คลองสามเสนช่วงปลาย มีนบุรี หนองจอก ถึงคลองบางขนาก ออกแม่น้ำบางปะกงประมาณ ๖๓.๔ กม. และที่จ้างชาวจีนขุดคลองเป็นทาง ๑,๓๓๗ เส้น ๑๙ วา ๒ ศอก (ระยะทาง ๕๓.๕๒ กม. ค่าจ้างขุด ๙๓,๖๖๐.-บาท) ยังขาดระยะทางอีก ๒๔๗ เส้น หรือ ๙.๘๘ กม. ซึ่งต้องเพิ่มค่าจ้างขุดอีก ๑๗,๒๙๐.-บาท จึงออกแม่น้ำบางปะกงได้
แต่ถ้าไม่เพิ่มค่าจ้างและต้องขุดคลองออกแม่น้ำบางปะกงให้ได้ มีประการเดียวคือ จะต้องเกณฑ์ชาวมลายูปัตตานีที่กวาดต้อนมาสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓ ที่มาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามแนวคลองมาช่วยกันขุดคลองจนทะลุออกแม่น้ำบางปะกง ฉะนั้นนับตั้งแต่คลองมหานาค คลองแสนแสบใต้ คลองแสนแสบเหนือ ไปออกแม่น้ำบางปะกงเป็นคลองสายหลักระยะทาง ๗๓.๘ กม. เป็นผลงานของเชลยศึกสงครามชาวเขมรมลายูปัตตานีทั้งนั้น แม้ว่าคลองแสนแสบเหนือได้จ้างชาวจีนขุดก็ไม่พ้นที่ต้องเกณฑ์แรงงานเชลยศึก สงครามร่วมด้วย (เรืองศักดิ์ ดำริห์เลิศ, อ้างแล้ว หน้า ๓๐)
ชาวมุสลิมจากหัวเมืองมลายูได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากชุมชนบ้าน ครัว และแถบคลองมหานาคในมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วถูกนำมาไว้ตลอดแนวลำคลองแสนแสบ (เหนือ) มีการหักร้างถางป่ารกพงไพรเป็นท้องทุ่งไร่นา และตั้งชุมชน มีการสร้างมัสยิด สุสาน และโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ก่อตั้งเรียงรายเป็นระยะ ๆ จำนวนมาก และตามคลองซอยที่แยกจากคลองแสนแสบ ก็ยังมีชุมชนมุสลิม และมัสยิดก่อตั้งกระจัดกระจายตามพื้นที่นาดอนทั่วไป ซึ่งราษฎรเหล่านี้ในภายหลังได้จับจองและมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินจำนวนมากอีก ด้วย
จากการตั้งถิ่นฐานของประชาคมมุสลิมมลายูตลอดเส้นทางคลองแสน แสบนับแต่รัชกาลที่ ๓ ทำให้มีชุมชนมุสลิมเชื้อสายมลายูเกิดขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทรา และนครนายก นอกจากนี้ชาวมุสลิมมลายูที่ถูกเทครัวมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ยังได้ ถูกนำไปไว้ในจังหวัดนนทบุรี (ที่บ้านท่าอิฐ ตำบลปากเกร็ดและตำบลบางบัวทอง เป็นต้น) ปทุมธานี (ที่คลองหนึ่ง คลองหลวง และบ้านสวนพริกไทย เป็นต้น) และสมุทรปราการ (ที่ทุ่งครุ บางมด ปากลัดเขตพระประแดง เป็นต้น)
ครั้นต่อมาในชั้นหลังลูกหลานชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูเหล่านี้ ได้เคลื่อนย้ายเข้าไป ทำมาหากินและตั้งหลักแหล่งอยู่ในจังหวัดภาคตะวันออกของไทย เช่น จังหวัดชลบุรี (อำเภอเมือง อำเภอพนัสนิคม และพัทยา เป็นต้น) จังหวัดระยอง จันทบุรี และจังหวัดตราด เป็นต้น ในขณะที่บางส่วนได้เคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งหลักแหล่งในเขตจังหวัดภาคใต้ตอนบน อันได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และพังงา เป็นต้น
ส่วนชาวมุสลิมในจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และพังงา ที่อยู่มาแต่เดิมนั้นเป็นชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูและมีความเกี่ยวพันกับไทรบุรี (เคดาห์) มาตั้งแต่ครั้งก่อนเป็นเมืองถลางตลอดจนเป็นชนพื้นเมืองเชื้อสายมลายูที่อยู่ มาแต่ครั้งโบราณในเส้นทางการค้าเก่าแก่ เช่น ที่คลองท่อม จังหวัดกระบี่ เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าประชาคมมุสลิมเชื้อสายมลายูเป็นประชากรมุสลิมในประเทศไทยที่ มีจำนวนประชากรมากที่สุดและมีการตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่ครอบคลุมกว้างขวาง มากที่สุดอีกด้วยเมื่อเทียบกับประชาคมมุสลิมกลุ่มอื่นในประเทศไทย
ประชาคมมุสลิมที่เคยเป็นพลเมืองในบังคับของต่างชาติ ได้แก่ ชาวมุสลิมยะวา (ชวา) จากอินโดนิเซียซึ่งเป็นพลเมืองในบังคับของฮอลันดาและชาวมุสลิมเชื้อสาย อินเดียซึ่งเป็นพลเมืองในบังคับของอังกฤษหรือภายหลังการได้รับเอกราชจาก อังกฤษแล้ว สำหรับชาวมุสลิมยะวานั้นมีหลักฐานที่ปรากฏในเอกสารของทางราชการระบุว่า มีชาวยะวาเดินทางเข้ามาค้าขายเลี้ยงชีพในประเทศไทยตั้งแต่ ร.ศ.๘๑ (พ.ศ.๒๔๐๕)
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา และเมื่อคราวเสด็จประพาสชวา ร.ศ.๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๔) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำชาวยะวา ๒ คน เข้ามาพร้อมกับนายเอเลนบาส ฝรั่งชาวฮอลันดา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญการเพาะปลูก ชาวยะวามีฝีมือในการตกแต่งสวนจึงได้เข้ารับงานด้านตกแต่งสวนในบริเวณพระบรมมหาราชวัง วังสราญรมย์ วังสวนสุนันทา พระราชวังบางปะอิน
นอกจากนี้ยังทำสวนบริเวณโรงกษาปณ์ ตกแต่งไม้ประดับในแนวถนนราชดำเนิน และปลูกต้นมะขามบริเวณท้องสนามหลวงอีกด้วย (กรรณิการ์ จุฑามาศ สุมาลี; ยะวา-ชวา ในบางกอก, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (๒๕๔๑) หน้า ๓๖) ชาวยะวาตั้งหลักแหล่งกระจายอยู่ในหลายเขตของกรุงเทพมหานคร เช่น เขตพระราชวัง ชนะสงคราม บางขุนพรหม สามเสน สาทร และบางรัก เป็นต้น ส่วนหนึ่งจากมัสยิดทีชาวยะวาได้สร้างขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครคือ มัสยิดยะวา มัสยิดบาหยัน มัสยิดดารุ้ลอาบีดีน มัสยิดบ้านอู่ และมัสยิดอินโดนีเซีย เป็นต้น
ในส่วนของชาวมุสลิมเชื้อสายอินเดียนั้น ส่วน ใหญ่อาศัยอยู่ในเขตบางรัก มหานาค ราชวงศ์ เยาวราช วรจักร์ และสีลม เป็นต้น (เอกสารกระทรวงนครบาล เรื่องที่ดินคนในบังคับต่างชาติ เล่มที่ ๑ – ๒๐ (ร.๕/๑ น.๑๘) ชาวมุสลิมเชื้อสายอินเดียบางตระกูลมีความเจริญก้าวหน้าในด้านธุรกิจการค้า เป็นอันมาก ดังกรณีของห้าง เอช อับดุลราฮิม และ นักกุดาอิสไมเลีย เป็นต้น
มัสยิด สำคัญที่ประชาคมมุสลิมกลุ่มนี้สร้างขึ้นได้แก่ มัสยิดเซฟี บริเวณตึกแดง มัสยิดกูวะติ้ลอิสลาม และมัสยิดฮารูณ เขตบางรัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชาวมุสลิมเชื้อสายปากีสถาน-อินเดียที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย และตาก เป็นต้น มีชุมมชนที่เก่าแก่ในจังหวัดเชียงใหม่ คือ ชุมชนมัสยิดช้างคลาน ชุมชนมัสยิดช้างเผือก ชุมชนหนองแบน และชุมชนสันกำแพง เป็นต้น
ประชาคมมุสลิมที่เป็นชาวต่างชาติแต่เดิมซึ่งอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในเขตจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสานมี ๒ กลุ่มใหญ่คือ ชาวมุสลิมเชื้อสายปาทาน อินเดีย บังกลาเทศ และพม่ากลุ่มหนึ่ง และชาวมุสลิมเชื้อสายจีนจากมณฑลยูนนานอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชาวมุสลิมเชื้อสายจีนคนไทยเรียกว่า “จีนฮ่อ” ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงนับแต่ช่วง กลางคริสตศตวรรษที่ ๑๙ มีชุมชนสำคัญได้แก่ ชุมชนบ้านฮ่อและชุมชนสันป่าข่อย เป้นชุมชนหลัก
ส่วนชาวมุสลิมในภาคอีสานนั้นส่วนใหญ่เป็น ชาวปาทานจากประเทศปากีสถานที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๐ และมัสยิดแห่งแรกที่ถุกสร้างขึ้นในภาคอีสานคือ มัสยิดญันนะตุ้ลฟิรเดาส์ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในภายหลังชาวมุสลิมในภาคอีสานยังได้ร่วมกันสร้างมัสยิดขึ้นเพื่อนประกอบศาสน กิจในอีกหลายจังหวัดด้วยกัน เช่น จังหวัดขอนแก่น สุรินทร์ เลย สกลนคร กาฬสินธ์ อุบลราชธานี และอุดรธานี เป็นต้น (เก็บความจากประยูรศักดิ์ ชลายนเดชะ,มุสลิมในประเทศไทย โดยสรุป)
กล่าวได้ว่าในยุครัตนโกสินทร์เป็นยุคที่ศาสนาอิสลามแผ่ขยายออกไปครอบคลุมทุกภาค ของประเทศไทยและประชาคมมุสลิมทุกกลุ่มได้มีส่วนสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาและ ตั้งชุมชนมุสลิมอันมีมัสยิดเป็นศูนย์กลางไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้มีเหตุปัจจัยมาจากการที่มุสลิมได้รับสิทธิเสรีภาพในการนับถือ ศาสนา การประกอบศาสนกิจ และมีความเสมอภาคภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ
ตลอดจนการเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกของพระเจ้าแผ่นดินทุกรัชกาลซึ่งมิได้ทรงถือเอา ความแตกต่างทางศาสนาและลัทธิความเชื่อมาเป็นเหตุในการเลือกปฏิบัติพระราช กรณียกิจต่อเหล่าพสกนิกรที่ล้วนอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของทุกพระองค์แต่ อย่างใดเลย
สำหรับจำนวนประชากรผู้นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทยที่ มีอายุ 15 ปีขึ้นไปตามการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปี พ.ศ.2548 มีจำนวน 2,213,381 คน หรือ 4% จากจำนวนประชากทั้งหมด 60,916,441 คน เฉพาะในกรุงเทพมหานครมีประชากรมุสลิม 156,676 คน ในภาคใต้โดยรวมมีประชากรมุสลิม 1,864,102 คนทั่วประเทศมีจำนวนมัสยิดทั้งหมด 3494 มัสยิด (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2550 จากสำนักกิจการความมั่นคงภายใน (ส่วนประสานราชการ กรมการปกครอง ) จังหวัดปัตตานี มีจำนวนมัสยิดมากที่สุด 636 มัสยิด และจังหวัดที่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 36 จังหวัด (ปี พ.ศ. 2547)
ทำไมจึงเรียกลำคลองสายนี้ว่า แสนแสบ?
ความเห็นแรกบอกว่าชื่อ คลองแสนแสบ น่าจะพิจารณาจากสภาพภูมิประเทศที่คลองนี้ขุดผ่าน ซึ่งล้วนเป็นที่ราบลุ่มอุดมด้วยทุ่งหญ้า มีน้ำขังเจิ่งนองตลอดปี จึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่ใหญ่ที่สุด อันได้แก่ ทุ่งบางกะปิ ทุ่งคลองตัน ทุ่งมีนบุรี ทุ่งหนองจอก ดังรายงานการเดินทางของนาย ดี.โอ.คิง (D.O.King) นักสำรวจชาวอังกฤษแห่งกรุงลอนดอน มีความตอนหนึ่งว่า
“คลองนี้มีความยาว 55 ไมล์ เชื่อมนครกรุงเพทฯ กับแม่น้ำบางปะกง ผ่านบริเวณที่ราบชนบท ซึ่งใช้สำหรับการเพาะปลูกข้าว โดยเฉพาะคนพื้นเมือง เป็นคนเชื้อสายมาเลย์เช่นเดียวกับชาวสยามอื่น ๆ พื้นบ้านของคนเหล่านี้ทำด้วยไม้ไผ่ยกขึ้นสูงจากพื้นประมาณ 4 ฟุต เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้ารัดเอวธรรมดา ๆ และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรอยู่ก็ตาม มือข้างหนึ่งจะต้องใช้ปัดยุงเสมอ”
สรุปว่า ได้ชื่อ “แสนแสบ” เพราะถูกยุงกัด แต่คำว่า “ทุ่งแสนแสบ” นั้นก็มีออกชื่อเอาไว้ในพระราชพงศาวดาร เป็นทุ่งใหญ่นอกพระนคร การขุดคลองผ่านทุ่งแห่งนี้ ก็น่าจะเป็นเหตุให้เรียกว่า “คลองแสนแสบ” ได้เช่นกัน เหมือนกับคลองแสนแสบ และคลองบางกะปิ หรือแม้แต่คลองตันก็น่าจะมีเหตุเรียกชื่อมาจากการขุดคลองผ่านทุ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เรากำลังสืบค้นถึงสาเหตุที่มาของชื่อ แสนแสบ ว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกทุ่งแสนแสบหรือคลองแสนแสบ
ความเห็นแรกเกี่ยวกับเรื่องของยุงที่ชุกชุม แต่ ส.พลายน้อย มีเบาะแสแตกต่างออกไปว่า “มีผู้สันนิษฐานในด้านภาษาว่า คำแสนแสบ น่าจะหมายถึง แม่น้ำลำคลองหรือห้วยหนองคลองบึงหรือทะเลสาบ และเพี้ยนมาจาก “แส-สาบ” ปรีดา ศรีชลาลัย อ้างว่า สมัยหนึ่งเคยเรียกทะเลว่า เสหรือแส เช่นหลงเสหรือเสหล่ง เท่ากับเสหลวง พงศาวดารเชียงแสนเรียกว่า หนองแส ที่ “แส-สาบ” กลายเป็น “แสนแสบ” มีตัวอย่างคำ “แม้” เป็น “แม้น” แส จึงเป็น “แสน” ปลาบ เป็น แปลบ ฉะนั้น สาบจึงเป็น แสบได้”
ในพจนานุกรมไทย-เขมร (ฉบับทุนพระยาอนุมานราชธน พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2528) ระบุว่า
เส (เขมรอ่านว่า เซ) แปลว่า ผีน้ำ คำนี้อยู่ในภาษาข่า ในตระกูลมอญ-เขมร แถบอีสานและลาว หมายถึง แม่น้ำ เช่น เซบก เซบาย ที่อุบล-ยโสธร แปลว่า แม่น้ำ (เซ)บก แม่น้ำ (เซ) บาย
สาบ (เขมรอ่านว่า ซาบ) แปลว่า จืด ในเขมรทุกวันนี้เรียก ทะเลสาบ หมายถึง แม่น้ำจืด แล้วไทยยืมคำนี้มาในความหมายเดียวกับคำภาษาอังกฤษว่า Lake เช่น ทะเลสาบสงขลา
ถ้าเสสาบกลายเป็นแสนแสบจริงแล้ว ก็หมายความว่า ชื่อคลองแสนแสบมาจากตระกูลภาษามอญ-เขมร สอดคล้องกับถิ่นฐานแถบนั้น เพราะชื่อ โขนง ก็เป็นภาษาเขมรอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องราวของนางนาคพระโขนง ที่น่าจะเป็นเค้ามาจากเขมรด้วย ส.พลายน้อยยังระบุอีกว่า “ทุ่งแสนแสบกับทุ่งบางกะปิ มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารทั้งคู่ ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์..."
และ ในรัชกาลนี้เอง (รัชกาลที่ 3) กองทัพไทยได้กวาดต้อนพวกแขกจามเขมรมาจากเมืองพนมเปญ โปรดฯ ให้พวกครัวแขกจามเหล่านี้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่คลองบางกะปิ แสนแสบเลยไปถึง "หลอแหล” ก็พวก “แขกจามเขมร” ละกระมังที่เริ่มเรียกคลองนี้ด้วยภาษาของตนว่า “เสสาบ” แต่พวกไทยพากันเรียกเพี้ยนเสียงไปว่า แสนแสบมาตราบจนทุกวันนี้ (สุจิตต์ วงษ์เทศ, คำนำในชื่อบ้านนามเมือง, สำนักพิมพ์มติชน (2540) หน้า 16-18)
- ศาสนาอิสลามในน่านเจ้า เริ่มเข้ามาในสมัยใด
- ศาสนาอิสลามเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยใด?
- ประวัติ มัสยิดเด่นชัย หรือ มัสยิดกามาลุลอิสลาม จ.แพร่
- นักการเมืองมุสลิมในยุโรป เช็กตัวท็อปมีใครบ้าง?
- เรียม เพศยนาวิน จากนางสาวไทย สู่รานีกษัตริย์มาเลเซีย
- ความเป็นมามุสลิมในประเทศไทย ประชากรมุสลิมในประเทศไทย อิสลามในกรุงเทพ มาจากไหน
- ศาสนาอิสลามในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชุมชนมุสลิมในอยุธยา ประวัติมุสลิมในสมัยอยุธยา (ละเอียด)
ที่มา: alisuasaming.org
news.muslimthaipost.com