สำนักจุฬาราชมนตรี ออกหนังสือชี้แจง กรณีกลุ่มปกป้องชาวพุทธได้ยื่นข้อเรียกร้อง ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน สร้างความเกลีดชัง ข้อมูลไกลเกินความจริง
สำนักจุฬาราชมนตรี ออกหนังสือชี้แจง กรณีกลุ่มปกป้องชาวพุทธได้ยื่นข้อเรียกร้อง ข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน สร้างความเกลีดชัง ข้อมูลไกลเกินความจริง...
คําชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่อกรณีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่คลาดเคลื่อน
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับศาสนาอิสลามที่คลาดเคลื่อน จนถึงปลุกกระแสต่อต้านศาสนาอิสลามในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการทําร้าย ฆ่าคนไทยพุทธ และเชื่อว่าเหตุไม่สงบเกิดจากการใช้มัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามเป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อร้าย และการบิดเบือนประวัติศาสตร์ชาติไทย สร้างความเกลียดชัง แตกแยก จนนําไปสู่ความเกลียดชังประเทศชาติ พร้อมทั้ง สรุปว่า เชื้อร้ายดังกล่าวกําลังคืบคลานขยายตัวเข้ามายังภาคอีสาน ภาคเหนือ และทุกจังหวัดผ่านการสร้างมัสยิด ต่อมา มีการรวมกลุ่มคนจํานวนหนึ่งส่งจดหมายเรียกร้องจุฬาราชมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้นําสูงสุดของศาสนาอิสลามในประเทศ ให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และปัญหาทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับหลักคําสอนของศาสนาอิสลามที่ คนกลุ่มนี้มองว่าสร้างความวุ่นวายแตกแยกในสังคมไทย และที่สําคัญคุกคามพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่คนไทย ส่วนใหญ่เคารพนับถือ
สํานักจุฬาราชมนตรี ตระหนักดีว่าพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีความเข้าใจและให้เกียรติคนมุสลิมเสมอมา แต่ก็มิได้ละเลยต่อปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นที่อาจสร้างความเคลือบแคลงสงสัยและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่างศาสนาในระยะยาว ตลอดจนกร่อนเซาะรากฐานความมั่นคงของ ประเทศชาติ ดังนั้น เพื่อจรรโลงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของสังคมไทยที่ผู้คนต่างศรัทธามีความเคารพให้เกียรติ และยอมรับในความเชื่อและความต่างทางชาติพันธุ์ของกันและกันเสมอมา สํานักจุฬาราชมนตรีขอใช้โอกาสนี้ ทําความเข้าใจหลักคําสอนและแนวทางปฏิบัติของมุสลิมต่อสังคมไทย ดังต่อไปนี้
๑. การเชื่อมโยงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับมัสยิด และ สถาบันการศึกษา ศาสนาอิสลาม ว่า หากมีสถาบัน ๒ แห่งนี้ที่ไหน จะมีความไม่สงบที่นั่น นับเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ๒ ประเด็น คือ
๑.๑ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อเหตุแห่งปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาแต่อย่างใด แต่มีรากเหง้ามาจากความขัดแย้งทางการเมือง ประวัติศาสตร์ การดําเนินนโยบายที่ผิดพลาดในอดีต ความไม่เป็นธรรม ยาเสพติด และธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความพยายามจากคนบางกลุ่มใช้ศาสนาอิสลามเป็นเครื่องมือในการปลุกระดมมวลชน แต่ความพยายาม ดังกล่าวไม่ประสบความสําเร็จกับคนมุสลิมส่วนใหญ่ที่มีความตระหนักถึงสิทธิ เสรีภาพในทางศาสนาที่ประเทศ ให้หลักประกันกับประชาชนทุกหมู่เหล่า
๑.๒ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อ “มัสยิด” และ “สถาบันการศึกษาศาสนาอิสลาม” ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่วางอยู่บนพื้นฐานของ “หลักศรัทธา” “ หลักปฏิบัติ” และ “หลักคุณธรรม” กิจวัตร ประจําวันของมุสลิมจึงผูกพันไว้กับหลักคําสอนของศาสนาอิสลาม มัสยิดจึงเป็นศาสนสถานที่มีหน้าที่ไม่ต่างไปจาก “วัด” ในพุทธศาสนา ส่วนสถาบันการศึกษาเป็นสถาบันที่ทําหน้าที่ในการอบรมบ่มเพาะคุณธรรมและจริยธรรม พร้อมทั้งขัดเกลาจิตใจ และจิตวิญญาณของศรัทธาชนให้ดําเนินอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ต่างไปจาก ศูนย์อบรมจริยธรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของวัดแต่ประการใด ปัจจุบันสถาบันการสอนศาสนาอิสลามมีการปรับตัว โดยการนําเอาหลักสูตรสามัญดังเช่นที่นักเรียนทั่วประเทศเรียนไปสอนร่วมกับการอบรมจริยธรรมทางศาสนา สถาบันการศึกษาศาสนาอิสลามส่วนใหญ่จึงปฏิรูปเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่อยู่ในความดูแลของ กระทรวงศึกษาธิการ
นอกจากนี้ การสร้างมัสยิดที่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กร ศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามแนวทางที่สํานักจุฬาราชมนตรีกําหนดไว้ โดยมีการกํากับจากคณะกรรมการกลาง อิสลามแห่งประเทศไทย และกระทรวงมหาดไทย ตามลําดับ
๑.๓ ปัญหาการเผยแพร่ความคิดเชิงอุดมการณ์ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการอ้างคําอธิบายทางศาสนา กล่าวคือ ผู้ก่อความไม่สงบปลูกฝังความคิดว่าประเทศไทย เป็น “ดินแดนสงคราม” ดังนั้น การต่อสู้ของพวกเขาจึงมีความชอบธรรมในทางอิสลาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นการอธิบายที่มีความคลาดเคลื่อนและห่างไกลจากบทบัญญัติศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลไทย ให้หลักประกันในสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการประกอบศาสนกิจแก่คนมุสลิมอย่างเท่าเทียม และถือว่า การทําร้ายผู้บริสุทธิ์เป็นบาปใหญ่ตามหลักการศาสนาอิสลาม
ดังนั้น การด่วนสรุปโดยการเชื่อมโยงสถานการณ์ด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อน ไม่มีความเข้าใจเหตุแห่งปัญหา และบริบททางสังคมอย่างแท้จริง มิได้ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกทั้ง ๒ ศาสนา
๒. ความพยายามเผยแพร่ข้อมูล “แผนการยึดครองประเทศไทย และนํากฎหมายอิสลามมาบังคับใช้กับ คนทั่วไปในประเทศไทย” ผ่านกระบวนการทางรัฐสภาและคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด เชื่อมโยงกับการสร้าง มัสยิดในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย จนนําไปสู่การยึดครองประเทศของมุสลิมนั้น ข้อความลักษณะดังกล่าวห่างไกล จากความเป็นจริงมาก ความเป็นจริงคือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมุสลิมมีเพียง ๔ ฉบับ คือ
๑) พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ.๒๔๘๔ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการครอบครัวและมรดกของมุสลิมใน ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
๒) พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นกฎหมายที่มุ่งอํานวยความสะดวกให้กับ ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์จากเงินส่วนตัวของผู้ที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ รัฐบาลมิได้จัดงบไปสนับสนุน พิเศษ ยกเว้นกรณีที่รัฐต้องการเยียวยาให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือมุสลิมที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรง ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
๓) พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์แต่อย่างใด โครงสร้างหลักของ พระราชบัญญัติฉบับนี้วางบทบาทให้จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นําสูงสุดของศาสนาอิสลาม มีคณะกรรมการขึ้นมาดูแลในระดับ หมู่บ้านหรือชุมชน (ระดับชุมชน มีกรรมการมัสยิด) โดยผู้นําศาสนาและตัวแทนด้านศาสนาทุกคนไม่ได้มีอํานาจ บทบาท หน้าที่ในการบริหารจัดการทางการเมืองในทุกระดับของสังคม
๔) พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๕๕ เป็นกฎหมายที่สะท้อนความเข้าใจ ของรัฐบาลต่อหลักการศาสนาอิสลามในเรื่องระบบการเงินที่จําเป็นต้องปราศจากดอกเบี้ย ปัจจุบันผู้ที่ใช้บริการ ธนาคารอิสลาม เป็นชาวไทยพุทธ ร้อยละ ๖๔.๖๑ และมุสลิม ร้อยละ ๓๐.๓๙ ที่สําคัญแม้ใช้ชื่อว่าธนาคารอิสลาม แต่มุสลิมทุกคนไม่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือประชาชนไทยพุทธแต่อย่างใด
ตามที่กล่าวมา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามทั้ง ๔ ฉบับ ไม่มีกฎหมายฉบับใดที่แสดงให้เห็นว่า องค์กรศาสนาอิสลามหรือคนมุสลิมจะมีสิทธิ อํานาจ หรือหน้าที่เข้าไปแทรกแซงกิจการทางการเมืองของรัฐไทยได้ แม้เพียงน้อยนิด
๓. ความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อ “กิจการฮาลาล” ของประเทศไทย
ในเรื่องดังกล่าวขอแจ้งให้ทราบว่า การรับรองฮาลาลมิได้เกิดจากการเรียกเก็บเงินขององค์กรศาสนาอิสลามจาก สถานประกอบการ ทว่าเป็นไปในทางกลับกัน นั่นคือสถานประกอบการร้องขอให้องค์กรศาสนาอิสลามรับรองฮาลาล เพื่อประโยชน์ด้านการค้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นเช่นนี้ทั่วทั้งโลก กรณีประเทศไทย การรับรองฮาลาลเป็นอํานาจ ของสํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัด (สกอจ.) จํานวน ๔๐ แห่ง และสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลาม แห่งประเทศไทย (สกอท.) ซึ่งกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตราที่ ๒๖ (๑๓) และมาตราที่ ๑๘ (๔) ตามลําดับ อันเป็นไปตามหลักบัญญัติในศาสนาอิสลามว่าผู้ทําหน้าที่ตัดสินข้อกําหนด ในศาสนาอิสลามจําเป็นต้องเป็นมุสลิมที่รู้ลึกซึ้งในศาสนาอิสลาม อันเป็นข้อกําหนดที่ยอมรับกันทั่วโลก
ปัจจุบันมีสถานประกอบการขอรับการรับรองฮาลาลสะสมตลอดหลายสิบปีจํานวน ๙,๐๐๐ สถานประกอบการ ทว่ามีการต่ออายุทุกปีประมาณ ๖,๐๐๐ สถานประกอบการ มีผลิตภัณฑ์ที่ขอรับการรับรองฮาลาลและต่ออายุทุกปี จํานวน ๔๐,๐๐๐ ผลิตภัณฑ์ มีการเก็บค่าธรรมเนียม ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อสถานประกอบการต่อปี ๑,๐๐๐ บาท ต่อผลิตภัณฑ์ต่อปี เกิดรายได้จากสถานประกอบการ ๑๒๐ ล้านบาทต่อปี รายได้จากผลิตภัณฑ์ ๔๐ ล้านบาทต่อปี รวมทั้งสิ้น ๑๖๐ ล้านบาทต่อปี รายได้นี้คือรายได้สูงสุด หากเรียกเก็บได้ครบตามที่กําหนดโดยเป็นรายได้ที่กระจายไปที่ สกอจ. ๔๐ แห่ง และ สกอท. ๑ แห่ง ในสภาพความเป็นจริง สถานประกอบการจํานวนมากมิใช่โรงงานขนาดใหญ่ แต่เป็นวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดเล็ก (SMEs) การเก็บค่าธรรมเนียมจึงลดลงตามขนาดของโรงงานจากนโยบายของ สกอจ. แต่ละแห่ง เป็นต้นว่า บางจังหวัดจัดเก็บสถานประกอบการของชาวบ้านเพียง ๑,๐๐๐ บาท มิใช่ ๒๐,๐๐๐ บาท สกอท. และ สกอจ. ร่วมมือกันวางระบบฮาลาลในร้านอาหารทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนกิจการการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ แก่ประเทศจํานวนมหาศาล โดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสถานประกอบการแต่ละแห่งเพียง ๑๐๐ บาทต่อปี มิใช่ ๒๐,๐๐๐ บาท
ข้อมูลจากสถาบันวิจัย Global Trade Atlas ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในระดับ สากลรายงานว่า หากนับรวมกับรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลไปยังประเทศที่มิใช่มุสลิมอีกกว่าร้อยประเทศ รายได้อาจสูงถึง ๑๒,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ๓๖๐,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ตัวเลขหลังนี้เองที่อาจสร้างความเข้าใจผิด ว่าองค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยมีรายได้จากการรับรองฮาลาลกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และ รายได้กว่า ๓๖๐,๐๐๐ ล้านบาท จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลสู่ต่างประเทศนี้ เป็นรายได้ของโรงงานและ บริษัทผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการส่งออก นักธุรกิจ รายได้บางส่วนเป็นเงินเดือนพนักงานและคนงานในอุตสาหกรรม ที่มีนับจํานวนแสน อีกบางส่วนเป็นรายได้สําหรับเกษตรกรที่ผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรที่อาจมีนับจํานวนล้านคนที่ได้ ประโยชน์จากการส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลของประเทศไทยไปทั่วโลกสร้างรายได้หลายแสนล้านบาทเกือบทั้งหมด มิใช่มุสลิม แต่เป็นพี่น้องคนไทยทั้งปวง ฮาลาลจึงเป็นผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนในภาพรวม มุสลิมที่มีเกือบ สองพันล้านคนทั่วโลกให้การยอมรับเครื่องหมายรับรองฮาลาลจากประเทศไทยอันเป็นผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง ฮาลาลจากประเทศไทยได้รับการยอมรับทั่วโลก หาไม่แล้วประเทศไทยจะสูญเสียรายได้เหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย มุสลิม ในประเทศไทยมีในสัดส่วนที่ต่ํา มีประชากรรวมแล้วไม่ถึงร้อยละ ๑๐ ของประชากรประเทศ อีกทั้งส่วนใหญ่มิได้ทําธุรกิจ มุสลิมจึงภูมิใจที่ผลิตภัณฑ์ฮาลาลสร้างประโยชน์ให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ มุสลิมจํานวนไม่น้อย เกิดความรู้สึกในเชิงจิตใจว่าฮาลาลคือหนทางหนึ่งที่มุสลิมจะสามารถตอบแทนบุญคุณต่อประเทศไทยอันเป็นที่รัก ของพวกเขา
รายได้ที่องค์กรศาสนาอิสลามได้รับจากการเก็บค่าธรรมเนียมในการให้การรับรองฮาลาลถูกใช้ในการบริหาร จัดการ สกอจ. และ สกอท. ที่มีค่าใช้จ่ายสําหรับบุคลากร สถานที่ และอื่น ๆ จํานวนมาก ทั้งนี้ สกอจ. สกอท. นับเป็น องค์กรภาคเอกชนที่มิได้รับงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนั้นรายได้บางส่วนใช้ในเรื่องการศึกษา ช่วยผู้ประสบภัยพิบัติและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่ได้แบ่งแยกศาสนา และ บางส่วนใช้ในเรื่องของการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ประเด็นด้านภาษีนั้น สกอท. สกอจ. เป็นองค์กรทางศาสนาได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีจากรัฐเช่นเดียวกับวัด และศาสนสถาน จึงมิได้เสียภาษี
สํานักจุฬาราชมนตรี และสํานักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรศาสนา ขอเรียนว่า มุสลิมในประเทศไทยมีความภาคภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย ดําเนินชีวิตอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ได้รับสิทธิเสรีภาพในการดํารงตนเฉกเช่นมุสลิมที่ดีพึงกระทํา และขอยืนยัน หลักการเคารพความเชื่อซึ่งกันและกัน ไม่บริภาษว่าร้ายต่อผู้อื่นโดยปราศจากความถูกต้องและข้อเท็จจริง ที่สําคัญคือ การดํารงซึ่งความเคารพ ให้เกียรติ และยอมรับกันและกันในเรื่องของความเชื่อ ศาสนา ชาติพันธุ์ และภาษา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้นําหรือรัฐบาล ตลอดทั้งสถาบันต่าง ๆ ในสังคมไทย พยายามช่วยกันรักษาทุน ทางสังคมที่สําคัญคือ ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คนที่แตกต่างหลากหลายทางศาสนา สํานักจุฬาราชมนตรี และองค์กร บริหารของมุสลิมทุกภาคส่วนขอปวารณาตนเป็นสถาบันที่จะธํารงรักษาคุณลักษณะและทุนทางสังคมที่เป็นรากฐาน ความมั่นคงของมนุษย์และชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสืบสานความเป็น “สุวรรณภูมิ” ของผู้คนทุกหมู่เหล่าอย่างสงบสันติ ต่อไป
- EP.01 ตอบข้อเรียกร้อง ต่อจุฬาราชมนตรี กรณีไม่เอามัสยิด
- EP.02 ตอบข้อเรียกร้อง ต่อจุฬาราชมนตรี กรณีไม่เอามัสยิด
- เตรียมแจง! ข่าวเปิดมัสยิดมุกดาหาร ยันบิดเบือนหลายข้อ
- ต้านมัสยิดมุกดาหาร อปพส.ยื่น 9 ข้อเสนอ ถึง จุฬาราชมนตรี
- พุทธเเท้ออกโรงเรียกร้อง หยุดใส่ร้าย ป่วนศรัทธา
- มัสยิด อันตราย ไม่ควรขยายจำนวนจริงหรือ ?