ทฤษฎีทางสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอาจมองว่าศาสนาเป็นวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์และมนุษย์สร้างกฎของศาสนาขึ้นมาเพื่อครอบงำหรือปกครองมนุษย์
ศาสนามาพร้อมกับมนุษย์
บทความโดย: บรรจง บินกาซัน
ทฤษฎีทางสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอาจมองว่าศาสนาเป็นวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์และมนุษย์สร้างกฎของศาสนาขึ้นมาเพื่อครอบงำหรือปกครองมนุษย์ คนหนุ่มรุ่นใหม่หลายคนมองว่าศาสนาไม่มีความจำเป็นแล้วสำหรับยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า
แต่ในคัมภีร์ทางศาสนามีหลักฐานยืนยันว่าศาสนามีมาพร้อมกับการมีมนุษย์บนโลกใบนี้เพราะเหตุผลหลายประการ
ประการแรก คัมภีร์กุรอานกล่าวว่ามนุษย์เกิดมาในสภาพที่อ่อนแอและไม่รู้
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทารกมนุษย์แรกคลอดอ่อนแอกว่าสัตว์ กว่าจะเดินได้อย่างมั่นคง มนุษย์ต้องใช้เวลาหัดเดินเตาะแตะนานนับเดือนในขณะที่สัตว์สี่เท้าเช่นเก้งกวางหรือม้าคลอดออกมาได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็สามารถลุกขึ้นเดินได้และรู้ด้วยว่าตัวไหนเป็นแม่ของมัน ส่วนทารกมนุษย์ หากถูกทิ้งไว้และแม่ไม่อุ้มขึ้นมาเอานมใส่ปาก ทารกมนุษย์ก็มีแต่จะอดตาย
เมื่อโตขึ้นมา มนุษย์ก็ไม่รู้จักการใช้ชีวิต ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์จึงประทานแนวทางการใช้ชีวิตให้แก่มนุษย์นับตั้งแต่อาดัมมนุษย์คนแรกถูกส่งมายังโลกใบนี้
แนวทางการใช้ชีวิตนี้ประกอบไปด้วยความเชื่อและวิถีปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แต่เพราะแนวทางการดำเนินชีวิตนี้มีการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อรักษาแนวทางไว้ ศัพท์สมัยใหม่จึงเรียกแนวทางการใช้ชีวิตว่าศาสนา ทั้งๆที่ความจริงแล้วการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของแนวทางในการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์
นอกจากนี้แล้ว มนุษย์ยังแปลผู้นำศาสนามาสั่งสอนยังโลกนี้ว่า “ศาสดา” ซึ่งหมายถึงผู้ก่อตั้งศาสนา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนเข้าใจว่าศาสนาถูกก่อตั้งโดยศาสดาที่เป็นมนุษย์
ในภาษาอาหรับเรียกผู้นำคำสอนของพระเจ้ามาเผยแผ่ว่า “นบี” (อ่านว่านะบี) ซึ่งหมายถึง “ผู้ประกาศ ผู้บอกข่าว” หมายถึงผู้ประกาศคำสอนของพระเจ้าบนแผ่นดินและบอกข่าวดีถึงเรื่องชีวิตใหม่ในโลกหลังความตาย
นบีจึงมิใช่ผู้ก่อตั้งศาสนา แต่เป็นเพียงผู้นำคำสอนของพระเจ้ามาสั่งสอนและบอกกล่าวแก่มนุษย์
เนื่องจากมนุษย์มาอยู่บนโลกนี้เป็นเวลายาวนานนับหลายพันปีและแตกออกเป็นหลายกลุ่มชน คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่าในทุกชุมชนมนุษย์ พระเจ้าได้ให้มีนบีเกิดขึ้นเพื่อนำแนวทางการดำเนินชีวิตไปสั่งสอนแก่ผู้คนในชุมชนทุกแห่ง
นบีมุฮัมมัดผู้เป็นนบีคนสุดท้ายของพระเจ้ากล่าวว่าก่อนหน้าท่านขึ้นไปจนถึงอาดัมมนุษย์คนแรกที่มายังโลกนี้ มีนบีเกิดขึ้นในชุมชนมนุษย์ต่างๆทุกยุคทุกสมัยเป็นจำนวนถึง 124,000 คน ในจำนวนเหล่านี้มีชื่อระบุไว้ตรงกันในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานถึง 25 คน
นบีมุฮัมมัดยังบอกต่อไปอีกว่าในจำนวนนบีนับแสนคนนี้มีนบีที่พระเจ้าประทานคัมภีร์ให้เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงถึง 313 คน นบีคนใดที่ได้รับคัมภีร์จะถูกเรียกในภาษาอาหรับว่า “รอซูล” ซึ่งหมายถึงผู้นำสาสน์ คัมภีร์คือกฎการใช้ชีวิตที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อนบีผู้ได้รับคัมภีร์ตายจากไป นบีคนใหม่จะใช้คัมภีร์นี้เป็นหลักฐานอ้างอิงต่อมา
ในคัมภีร์กุรอาน เราอ่านพบว่านบีบางคนได้รับคัมภีร์จากพระเจ้า เช่น อิบรอฮีม มูซา ดาวูด สุลัยมาน และอีซา เป็นต้น
แต่เนื่องจากคัมภีร์ในสมัยก่อนถูกบันทึกไว้บนวัสดุที่ไม่คงทน เช่น บนหนังสัตว์ แผ่นไม้ กระดูกสัตว์ เป็นต้น คัมภีร์จึงมีการสูญสลายหรือสูญหายเพราะกาลเวลาและการทำลาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อมีความพยายามจะรวบรวมคำสอนของคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ ได้มีการเพิ่มเติมสิ่งที่ไม่มีอยู่เดิมเข้าไปหรือไม่ก็มีการตัดทอนคำสอนเดิมออกไปทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา ทำให้คำสอนดั้งเดิมของพระเจ้าในคัมภีร์ผิดไปจากเดิมและส่งผลให้ผู้ปฏิบัติตามคัมภีร์เกิดความหลงผิด
ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ประทานคัมภีร์กุรอานลงมาแก่นบีมุฮัมมัดเพื่อยืนยันคำสอนของพระองค์ที่มีอยู่ในคัมภีร์ก่อนหน้านี้ และพระเจ้าได้สัญญาว่าพระองค์จะรักษาคัมภีร์ของพระองค์ไว้จนถึงวันสิ้นโลก