
ดราม่าแอร์พอร์ตลิงก์: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ว่าด้วยวาทกรรม อัตลักษณ์ และความยุติธรรมในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย
ดราม่าแอร์พอร์ตลิงก์: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ว่าด้วยวาทกรรม อัตลักษณ์ และความยุติธรรมในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย
ย้อนความเรื่องดังกล่าวนี้ เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง มาเดีย หญิงสาวชาวมุสลิมจากจังหวัดชายแดนใต้ และ ชูศักดิ์ บุคคล LGBTQ บนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ มิได้เป็นเพียงปัญหาการทะเลาะส่วนบุคคล แต่สะท้อนให้เห็นโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน ทั้งในแง่ของ อคติทางศาสนา (religious prejudice), การสร้างความเป็นอื่น (othering) และ พลังของสื่อดิจิทัล ที่เปลี่ยนประสบการณ์ส่วนบุคคลให้กลายเป็น “คดีสาธารณะ” บทความนี้มุ่งวิเคราะห์เหตุการณ์ดังกล่าวเชิงวิพากษ์ โดยอ้างอิงแนวคิดการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis: CDA) และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจทางสังคมและวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่
- วาทกรรมการสร้าง “ความเป็นอื่น” : เจ็บมากพอสมควร ถ้าได้ฟังคลิบ และหลายๆคน ก็ชื่นชมน้องนาเดีย ว่า “อดทนได้อย่างไร” แต่ก็มีหลายคนต่างว่า “มันเป็นชาย ไม่ใช้หญิง” ถ้อยคำที่ชูศักดิ์ ถล่มใส่ไม่มียั่ง(คิด) เช่น “อีอิสลาม” ไม่ได้เพียงสะท้อนความไม่พอใจ แต่เป็นการใช้อัตลักษณ์ทางศาสนาเป็นอาวุธในการลดทอนศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ฟูโกต์ (Foucault, 1980) ว่า วาทกรรมคือกลไกของอำนาจที่ผลิตและทำให้ “ความจริง” ถูกยอมรับในสังคม กล่าวคือ การด่าทอด้วยการพาดพิงศาสนาเป็นการสถาปนาลำดับชั้นเชิงอำนาจ (hierarchy) ที่กดทับผู้ถูกกล่าวถึงให้ตกอยู่ในสถานะ “คนชายขอบ” คนบ้านนอก “คนด้อยการพัฒนา” “พวกหลังเขา” ในบริบทไทย งานของ บัญญัติ ทิพย์หมัด (2024) ที่ศึกษา การสื่อสารวาทกรรมอาหารฮาลาล พบว่า อัตลักษณ์มุสลิมมักถูกตีความผ่านกรอบความเชื่อทางศาสนาและการเมือง และพร้อมจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกเมื่อเกิดความขัดแย้ง เหตุการณ์บนแอร์พอร์ตลิงก์จึงสะท้อนการดำรงอยู่ของ Islamophobia ในเชิงวาทกรรมที่ยังไม่ถูกท้าทายอย่างจริงจัง
- วาทกรรมความเงียบและการไม่ตอบโต้: การที่มาเดียเลือกตอบโต้ด้วยความสุภาพและการขอโทษ แทนที่จะใช้ความรุนแรง เป็นสิ่งที่สังคมชื่นชมอย่างมาก ความเงียบและการไม่ตอบโต้สามารถตีความได้สองด้าน (1) ในเชิงบวก: เป็นการยกระดับศักดิ์ศรีด้วยการไม่ใช้ถ้อยคำต่ำตม (2) ในเชิงวิพากษ์: สะท้อนถึงข้อจำกัดที่ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะอาจไม่มี “พื้นที่ปลอดภัย” ในการแสดงออก แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Fairclough (1992) ที่ชี้ว่า วาทกรรมไม่ใช่เพียงถ้อยคำ แต่คือการปฏิบัติทางสังคม (social practice) ความเงียบของมาเดียจึงเป็นทั้งพลังที่ปกป้องศักดิ์ศรีของตน แต่ก็สะท้อนโครงสร้างสังคมที่ “กดทับเสียงของผู้หญิงมุสลิม”
- การให้อภัยและความยุติธรรม: มาเดียเรียกร้องเพียงคำขอโทษ ไม่ใช่ค่าชดเชยทางการเงิน นี่สะท้อนว่า ความยุติธรรมในมิติศักดิ์ศรี มีความสำคัญกว่าความยุติธรรมในมิติทางวัตถุ อย่างไรก็ตาม การที่เธอแสดงความเห็นใจผู้ก่อเหตุที่ถูกเลิกจ้างก็สะท้อนความย้อนแย้ง คือ เหยื่อถูกทำให้กลายเป็นผู้แบกรับภาระในการ “ให้อภัย” ขณะที่โครงสร้างสังคมยังไม่สร้างความมั่นคงด้านความปลอดภัยและศักดิ์ศรีให้กับเธอปรากฎการทางสังคม และเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
1. พลังของสื่อดิจิทัล: จากเหตุการณ์ส่วนบุคคลสู่คดีสาธารณะ : หากไม่มีคลิปวิดีโอที่ผู้โดยสารบันทึกไว้ (อันนี้ต้องให้เครดิต ท่านเจ้าของคลิบอย่างมาก ผู้เขียนเองไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ขอให้พระเจ้า ตอบแทนความดีแก่ท่านผู้นั้นด้วย) เหตุการณ์อาจเงียบไป แต่การแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียได้เปลี่ยนให้เป็น “ดราม่าแห่งชาติ กลับข่าวเคนดิเดตนายก หายวับ” สะท้อนข้อสังเกต เกี่ยวกับ affective publics หรือ “สาธารณะเชิงอารมณ์” ที่ผู้คนรวมตัวกันผ่านสื่อออนไลน์ด้วยความรู้สึกโกรธ แค้น หรือเห็นอกเห็นใจ การแชร์และการแสดงความเห็นจึงไม่ใช่แค่การบริโภคข่าว แต่คือการมีส่วนร่วมในการสร้าง “ความยุติธรรมทางสังคม” ผ่านแรงกดดันออนไลน์
2. องค์กรและความรับผิดชอบเชิงภาพลักษณ์ Stadium One ถือว่าตัดสินใจไวมาก การที่ Stadium One ตัดสินใจเลิกจ้างชูศักดิ์อย่างรวดเร็วเป็นตัวอย่างของการจัดการวิกฤต (crisis communication) เพื่อปกป้องภาพลักษณ์องค์กร มากกว่าการแก้ไขปัญหาความเข้าใจเชิงวัฒนธรรมในเชิงลึก การกระทำนี้อาจถือเป็น “ความรับผิด” ในเชิงธุรกิจ แต่ไม่ได้สร้างกลไกเพื่อแก้ไขรากฐานของอคติหรือส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนาและความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย ซึ่ง ณ ตอนนี้ (ไม่ทราบข่าวจริงๆ) แต่อยากจะให้ Stadium One ออกมารับผิดชอบมากกว่านี้ ในสถานะที่เป็นต้นสังกัดของพนักงานดังกล่าว และสอบสวน เพื่อป้องกันไม่รับบุคคลทัศนคติแบบนี้เข้าองค์กรอีก หรือ เยียวยาปลอมใจน้องนาเดีย อย่างน้อยก็เป็นการรับประกันว่า ชูศักดิ์ จะมีคิดแค้นน้องเค้าที่ทำให้ตกจากงานอันเนื่องจากเหตุการณ์นี้ ก็อาจจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบมากขึ้น (ดังกล่างนี้ เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำ)
ท้ายที่สุด เราจะเห็นว่า ความเปราะบางของสังคมพหุวัฒนธรรมไทย ที่ยังเผชิญกับการสร้างความเป็นอื่นผ่านวาทกรรม ความไม่เสมอภาคเชิงอัตลักษณ์ และการพึ่งพิงสื่อดิจิทัลเป็นกลไกความยุติธรรมทางสังคม เหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนให้สังคมไทยตระหนักว่า การอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้เกิดจากการ “ให้อภัยส่วนบุคคล” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจาก การสร้างโครงสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเคารพอัตลักษณ์ที่หลากหลาย อันนี้สอดรับกับ แนวคิด Bunyat Model (การสื่อสารสร้างความปรองดองในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย) ไว้มีโอกาสจะประยุกต์โมเดลดังกล่าวนี้ให้ทราบต่อไป
เอกสารอ้างอิง
Fairclough, N. (1992). Discourse and Social Change. Cambridge: Polity Press.
Foucault, M. (1980). Power/Knowledge: Selected Interviews and Other Writings. New York: Pantheon.
บัญญัติ ทิพย์หมัด. (2567). การวิเคราะห์การสื่อสารวาทกรรมอาหารฮาลาลในสังคมพหุวัฒนธรรม
บทความที่น่าสนใจ
- วาทกรรมอาหารฮาลาล การสื่อสารอัตลักษณ์ของมุสลิมไทย
- อาหารฮาลาลกับสุขภาพ ความสัมพันธ์ที่ถูกประกอบสร้างอย่างเหลือเชื่อ
- วาทกรรมอาหารฮาลาล: อาหารคุณภาพ ปลอดภัย ใครๆ ก็ทานได้
- ดราม่าแอร์พอร์ตลิงก์: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ว่าด้วยวาทกรรม อัตลักษณ์ และความยุติธรรมในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย
- วาทกรรมอาหารฮาลาล: ความภูมิใจในอัตลักษณ์ความศรัทธาของมุสลิมไทย
- อาหารฮาลาล คืออะไร อธิบายความหมายอย่างง่ายๆ พร้อมยกตัวอย่างอาหารที่ฮาลาลและไม่ฮาลาล
- 10 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาหารฮาลาล คำตอบง่ายๆ ที่เข้าถึงและกระจ่างชัด ทำไม?
- ตะลึง! นางกวักคลุมหัว ระบาดหนัก
- เรื่องน่ารู้ อัตลักษณ์อาหารฮาลาล มิติศาสนา มิติวัฒนธรรม และมิติสังคม