อิสลามได้แพร่หลายในหมู่ชนชาติจาม และครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ อันก่อให้เกิดความไม่พอใจของคณะสงฆ์ในศาสนาพุทธและถือว่า พวกจามเป็นศัตรูที่สำคัญ
มุสลิมในพม่า ประชากรมุสลิมในพม่า (เบอร์มาเนีย) 2/2
บทความโดย อ.อาลี เสือสมิง
อิสลามได้แพร่หลายในหมู่ชนชาติจาม และครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ อันก่อให้เกิดความไม่พอใจของคณะสงฆ์ในศาสนาพุทธและถือว่า พวกจามเป็นศัตรูที่สำคัญ
คณะสงฆ์ในพุทธศาสนาจึงได้ทุ่มเทความพยายามในการที่จะดึงเอาชาวจามให้หวนกลับคืนสู่ศาสนาพุทธอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้ อิสลามก็หยั่งรากฝังลึกในหมู่ชนชาติจาม ซึ่งได้สร้างมัสยิดขึ้นในชุมชนของพวกเขาเป็นอันมาก
สิ่งที่ปรากฏชัดก็คือ อิสลามได้ไปถึงชนชาติเหล่านี้ในคาบสมุทรอินโดจีนจากทางเส้นทางการค้า และพ่อค้าวาณิชย์ส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นก็มิใช่ชนชาติอาหรับหรือเปอร์เซีย
หากแต่เป็นชนชาติอินเดีย ดังนั้นจึงทำให้คำจำกัดความของอิสลามในดินแดนนั้นมีการบิดเบือนเป็นอันมากถึงแม้ว่าหลักการศรัทธาและการประกอบศาสนกิจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ข้อยืนยันในเรื่องนี้ก็คือว่ามีประชากรกลุ่มเล็ก ๆ ของคาบสมุทรที่เป็นชนชาติทมิฬ ซึ่งเป็นชาวอินเดีย (หรือชมพูทวีป) ได้อพยพสู่ดินแดนทางตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน และตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่นและผสมผสานกับประชากรท้องถิ่น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในการที่จะกล่าวว่า ชนชาติทมิฬนั้นได้มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงในการเผยแผ่อิสลามในอินโดจีน
ชาวทมิฬเป็นชนชาติอินเดียที่ถือศาสนาอิสลามในฝ่ายซุนนีย์ เป็นพวกที่รักการเดินทางและประกอบอาชีพการค้าและดูเหมือนว่านี่คือ
สาเหตุในการเข้ารับอิสลามของชนชาติทมิฬ เนื่องจาก มีการติดต่อกับชนชาติอาหรับซึ่งเป็นนักเดินทางและพ่อค้าวาณิชย์ ซึ่งต่อมาชาวทมิฬก็ได้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่ศาสนาอิสลามระหว่างกลุ่มชนชาติจามในอินโดจีนราวคริสศตวรรษที่ 14 อันเป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอัลคอลญีย์ในอินเดียได้หมดอำนาจลง (ค.ศ.1320)
อาณาจักรคอลญีย์ได้ทำการขยายขอบเขตของศาสนาอิสลามทางตะวันออกเฉียงเหนือในอินเดีย ต่อมาในภายหลังชนชาติจามก็ได้สถาปนาอาณาจักรอันเกรียงไกรขึ้นในแคว้นอันนัม อันเป็นที่รู้จักกันในนามอาณาจักรจามปา บนชายฝั่งทางตะวันออกของคาบสมุทรอินโดจีนแต่ทว่าอาณาจักรจามปามีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาอันสั้น
จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ยังคงมีชนชาติอันนัมที่เป็นมุสลิมที่หลงเหลืออยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีนเพียงจำนวนเล็กน้อย พวกคอมมิวนิสต์ซึ่งแพร่หลายที่นั่นก็รุกรานชนชาติเหล่านี้ จนทำให้ประชากรส่วนใหญ่จำต้องอพยพเข้าสู่กัมพูชา แต่ก็ถูกพวกคอมมิวนิสต์ทำการรุกรานอีกเช่นกันในกัมพูชา
จริงอยู่ที่จำนวนของมุสลิมเชื้อชาติจาม มีอยู่ไม่มากในปัจจุบัน แต่พวกเขามีความอดทนและทุ่มเท และเป็นหมู่ชนที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงกล่าวถึงว่า
ผู้ที่กำมั่นต่อศาสนาของเขา ก็เฉกเช่นกับผู้ที่กำถ่านแดง
และกลุ่มอิสลามิกชนที่ถูกกดขี่เช่นนี้สมควรในการที่เราจะต้องให้ความช่วยเหลือและให้ความสำคัญ
ชาวมุสลิมในกัมพูชาและเวียดนาม ได้ตั้งชุมชนเป็นประชาคมในเขตต่าง ๆ แน่นอนทางตอนใต้ ซึ่งมิใช่เพียงแต่ชนชาติจามเท่านั้น แต่ยังมีผู้อพยพเชื้อชาติมลายูอีกเป็นจำนวนมากที่โยกย้ายถิ่นฐานมาสู่อินโดจีนจุดใหญ่ ๆ ที่มุสลิมเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ค่อนข้างมากก็เช่น ไซ่ง่อน, เฉาลุน, โฉวดุก, โกชิน และพนมเปญ, กำปงโลเดงและจังหวัดกำปงจาม, โลพัก, กัมโพธพุสารท และเมืองเล็ก ๆ อีกบางแห่ง
มุสลิมในอินโดจีน ได้ประกอบศาสนกิจเหมือนกับพี่น้องมุสลิมในคาบสมุทรมลายู และดำรงชีวิตกันเป็นกลุ่มก้อนที่ยึดมั่นรวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง และประสบความสำเร็จตลอดจนเป็นที่ครั่นคร้ามในเวลาเดียวกัน โดยรวม ๆ แล้วมุสลิมเหล่านี้นับเป็นชาวอินโดจีนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในด้านการประกอบอาชีพค้าขายและการเงิน เป็นผู้มีความชำนาญในเรื่องการกสิกรรมและการประมง
ซึ่งการประสบความสำเร็จของพวกเขาเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความโกรธแค้นและชิงชัง พวกพระสงฆ์ในศาสนาพุทธจึงปลุกระดมให้ประชาชนทั่วไปเกิดความไม่พอใจต่อพวกเขา
มุสลิมอินโดจีนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซุนนีย์ จะมีชีอะห์อยู่บ้างแต่ไม่มาก มุสลิมเหล่านี้อ่านอัลกุรอานได้อย่างถูกต้องโดยเฉพาะบทที่จำเป็นต้องอ่านในการนมัสการ นอกจากนี้ยังพบว่ามีถ้อยคำในภาษาอาหรับที่ผิดเพี้ยนในการออกเสียงปรากฏอยู่ในภาษาของพวกเขา ซึ่งบางคำไม่ทราบต้นตอที่มา
พวกเขาจะดำรงการนมัสการอย่างเป็นระเบียบ ไม่รับประทานเนื้อสุกร สุนัข เต่า จระเข้ ช้าง นกยูง นกอินทรีย์ และอีแร้งหรือเหยี่ยว มีผู้คนเป็นจำนวนมากจากชาวมุสลิมในอินโดจีนที่ใช้ชื่อนำว่า “ฮัจยี” มัสยิดของพวกเขามีเป็นจำนวนมิใช่น้อยแต่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ส่วนใหญ่จะถูกสร้างจากไม้และปูด้วยเสื่อ ทางเข้าของมัสยิดจะมีบ่อน้ำที่ใช้ในการอาบน้ำละหมาด และมัสยิดจะถูกใช้เป็นโรงเรียนสอนอัลกุรอานแก่บรรดาเด็กมุสลิมในชุมชมเหมือนกับมัสยิดส่วนใหญ่ในประเทศมุสลิม
ชาวมุสลิมอินโดจีนจะเคร่งครัดในการถือศีลอดและเอ่ยพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ในสำเนียง “อุปลอ” หมายถึง “อัลลอฮฺ” บรรดาบุตรหลานของพวกเขาจะมีชี่อในภาษามลายูหรือภาษากัมพูชา (เขมร) เคียงคู่กับชื่ออิสลามโดยนิยมใช้ชื่ออับดุลลอฮฺ หรือ มุฮำหมัด ส่วนเด็กผู้หญิงจะนิยมชื่อ ฟาติมะห์ โดยออกเสียงว่า “ปะวัตเมาะห์” พวกเขาจะใช้คำศัพท์ทางศาสนาที่เพี้ยนมาจากคำในภาษาอาหรับ โดยนำเอาคำเหล่านี้มาจากครูชาวมลายูของพวกเขา
เราจะพบว่าพวกเขาเรียก “มุฟตี” (ผู้ตอบปัญหาศาสนา) ในสำเนียงว่า “มุปาตี” เรียกคำว่า (กอฎี) (ผู้ชี้ขาดกรณีพิพาท) ว่า “กุวะฮ์กาลิล” เรียก “ฟากิฮ์” (ผู้สันทัดในด้านนิติศาสตร์) ว่า “กุวาน ปากีฮ์” เรียกหมอหรือแพทย์ว่า “ฮ่ากีม” เรียก ค่อตีบ (ผู้แสดงธรรมวันศุกร์ว่า “กะตีบ” เรียกมุอัซซิน ว่า “บิหลั่น” ไม่ว่ามุอัซซิน (ผู้ประกาศเวลานมัสการ) ผู้นั้นจะมีชื่อจริงว่าอะไรก็ตาม
บุคคลส่วนใหญ่ที่รับผิดชอบกิจการทางศาสนาในหมู่มุสลิมอินโดจีนนั้นโดยมากจะเป็นบรรดาฮุจญ๊าจซึ่งเคยผ่านการประกอบพิธีฮัจญ์มาแล้วตลอดจนเคยศึกษาเรียนรู้หลักการของศาสนาบางส่วนในอัลฮิญาซ ต่อมาในภายหลังพวกเขาก็เดินทางกลับสู่มาตุภูมิของพวกเขาเพื่อเป็นผู้นำในการนมัสการและนักแสดงธรรมในมัสยิดต่าง ๆ
เช่นนี้เองศาสนาอิสลามก็ได้แพร่หลายในส่วนต่าง ๆ ของคาบสมุทรอินโดจีนทั้งนี้ด้วยการทุ่มเทและมุ่งมั่นของมุสลิมเบงกอลและพ่อค้าอินเดีย ตลอดจนนักเผยแผ่อื่น ๆ จากอิสลามิกชน พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงปลูกฝังให้มุสลิมอินโดจีนมีความรักมีความปรารถนาในการเดินทางสู่บัยติลลาฮฺเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ บางคนต้องพบกับความยากลำบากในการเดินทางหรือเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้มีโอกาสไปเยือนแหล่งกำเนิดแห่งอิสลามและประกอบพิธีฮัจญ์
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนพร้อมกับฉายาว่า “ฮัจยี” ซึ่งฉายาดังกล่าว มีความสำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขา และมีผู้คนเป็นจำนวนมากจากบุคคลเหล่านี้ได้บ่ายหน้าสู่การเผยแผ่เรียกร้องสู่อิสลาม โดยออกเดินทางไปยังดินแดนทางตะวันออกพร้อมกับบรรดาพ่อค้าวาณิชย์และกองคาราวานของพวกเขา
ซึ่งบ่อยครั้งมักจะมีกลุ่มคนที่เป็นนักปฏิบัติศาสนกิจที่ได้ยึดเอาการเผยแผ่อิสลามเป็นแนวทางได้ร่วมไปกับกองคาราวานเหล่านั้น บุคคลเหล่านี้จะสร้างสถานประกอบการภักดี (อิบาดะห์) ณ สถานที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ลงพักหรือตั้งหลักแหล่ง บุคคลเหล่านี้เป็นจำนวนมิใช่น้อยได้ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในสยาม, พม่า และญวน (อันนัม) ซึ่งกล่าวกันว่า มีบางคนจากนักเผยแผ่เหล่านี้สามารถเรียกร้องผู้คนราว ๆ 100-300 คน ให้เข้ารับอิสลามทั้งหมดภายในวันเดียว
บุคคลที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดจากกลุ่มนักเผยแผ่เหล่านี้คือ ซัยยิด ยูซุฟุดดีน ท่านชัยค์ผู้นี้ได้เดินทางออกจากกรุงแบกแดด อันเป็นมาตุภูมิของท่านมุ่งสู่แคว้นสินธุเพื่อทำการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในหมู่ชาวสินธุและได้รับการเอื้ออำนวยจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใหญ่หลวง ต่อมาท่านก็ย้ายไปสู่แคว้นเบงกอล และสืบสานการเผยแผ่อย่างต่อเนื่องด้วยความสำเร็จ จากแคว้นเบงกอลนี่เองท่านชัยค์ได้ร่วมไปกับกองคาราวานสินค้ามุ่งสู่ดินแดนพม่าและสยาม
ในพม่านั้นท่านชัยค์ยูซุฟุดดีนได้สร้างสถานประกอบอิบาดะห์ตามแนวทางของซูฟีย์ และยังได้สร้างมัสยิดขึ้นหลายต่อหลายแห่ง ท่านชัยค์ได้วางระบบแบบแผนอย่างสมบูรณ์แก่กลุ่มชนมุสลิมในพม่าก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิต จวบจนทุกวันนี้ถือกันว่าท่านชัยค์ ยูซุฟุดดีน นับเป็นผู้ที่รู้จักกันมากที่สุดผู้หนึ่งในอินโดจีน
เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ว่า การแพร่หลายของลัทธิสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ในดินแดนต่าง ๆ ของพม่าและประเทศไทย (ในเขตชายแดน) ในปัจจุบันได้เป็นต้นเหตุของความยากลำบากของมุสลิมในดินแดนดังกล่าว พวกแรกที่ประกาศสงครามกับอิสลามในดินแดนดังกล่าวและพยายามหยุดยั้งการเผยแผ่รุดหน้าของอิสลามก็คือ พวกล่าอาณานิคมเมืองขึ้นระหว่างพวกอังกฤษกับฝรั่งเศส
พวกยุโรปในขณะที่สามารถแผ่อิทธิพลสู่เอเชียได้ราวศตวรรษที่ 19 ได้พบว่า อิสลามเป็นอุปสรรคสำคัญในการแผ่อำนาจของพวกเขาและปรากฏว่า กลุ่มคณะมิชชันนารี นั้นมีความตื่นตัวอย่างมาก ทั้งนี้พวกมิชชันนารี่เหล่านี้มีความหวังอย่างมากในการที่ใช้อำนาจทางการเมืองจากฝรั่งด้วยกันในการทำให้พลเมืองในดินแดนเหล่านี้ ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมเข้ารีตในศาสนาของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มค่าใช้จ่ายเป็นอันมากเพื่อทำให้เป้าหมายดังกล่าวสมหวังแต่ก็ไร้ผล อย่างไรก็ตาม พวกคณะมิชชันนารี่เหล่านี้ก็ได้พยายามเผยแพร่สิ่งที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริงของอิสลามและสร้างความเสื่อมเสียแก่อิสลามิกชนและปลุกระดมผู้คนให้จงเกลียดจงชังบรรดามุสลิม นอกจากนี้พวกล่าอาณานิคมยังเข้าใจเอาว่าพวกเขาสามารถเล่นงานอิสลามได้เมื่อพวกเขาฟื้นฟูศาสนาพุทธให้การอุปถัมภ์สนับสนุนตลอดจนสร้างความเป็นมิตรกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ซึ่งผลของการกระทำดังกล่าวไม่เป็นผลดีสำหรับอิสลามและชนมุสลิม
จากจุดนี้การกดขี่ทารุณต่อชาวมุสลิมในเอเชียใต้ส่วนใหญ่โดยเฉพาะทางตะวันออกของอินเดียจึงเริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในพม่าหรือประเทศไทยหรือกัมพูชา, ลาว และเวียดนามทั้งเหนือและใต้จะพบว่าอิสลามในดินแดนเหล่านี้กำลังต่อสู้เพื่อการคงอยู่และเราจะพบว่ามุสลิมส่วนใหญ่ต้องทนทุกข์กับการกดขี่และการรุกไล่ซึ่งสภาพดังกล่าวเป็นปัญหาหนึ่งของอิสลามในปัจจุบัน
อ่านย้อน <<< มุสลิมในพม่า ประชากรมุสลิมในพม่า (เบอร์มาเนีย) 1/2
- ไทย-มุสลิม เชื้อสายจาม จากเมืองเขมร
- ศาสนาอิสลามเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยใด?
- ศาสนาอิสลามในน่านเจ้า เริ่มเข้ามาในสมัยใด
- ประวัติคลองแสนแสบและบรรพชนมุสลิมเชื้อสายต่างๆ
ที่มา: alisuasaming.org