โลกคือสนามทดสอบ
โลกคือสนามทดสอบ
บทความโดย: บรรจง บินกาซัน
หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจมของกองทัพเรือเป็นหลักสูตรสุดโหดที่ใช้คัดเลือกทหารที่มีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายและจิตใจเพื่อเป็นยอดทหารในหน่วยรบพิเศษ คนที่สมัครเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรนี้รู้ดีล่วงหน้าว่าตัวเองจะต้องถูกทดสอบสมรรถนะอย่างสุดโหดเพียงใด แต่มีน้อยคนที่ผ่านการฝึกอบรม
คนที่ผ่านการฝึกหลักสูตรนี้จะได้รับการติดเครื่องหมายฉลามขาวซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของกองทัพเรือไทย ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าทหารทั่วไป และเพื่อนที่ฝึกรุ่นเดียวกันให้ความนับถือ
ถ้ากองทัพต้องการทหารชั้นดีฉันใด พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ก็ต้องการมนุษย์ชั้นดีฉันนั้น หลักสูตรนักทำลายใต้น้ำมีสนามทดสอบจำกัดอยู่ในบางพื้นที่และมีเวลาจำกัด แต่สนามทดสอบสำหรับมนุษย์โดยเฉพาะผู้ศรัทธาในพระเจ้ามีขึ้นในทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ทั้งดีและร้าย ใครท้อเป็นถ่าน ใครผ่านเป็นเพชร
กองทัพเรือทดสอบสมรรถนะทางด้านร่างกายของทหารชั้นดีไว้เพื่อประจำการในกองทัพฉันใด พระเจ้าก็ต้องการทดสอบบ่าวผู้ศรัทธาเพื่อคัดสรรมนุษย์ที่ดีเลิศไว้ในอาณาจักรของพระองค์(สวนสวรรค์)ฉันนั้น มนุษย์ที่ดีเลิศที่สุดในสายตาของพระเจ้าคือผู้ศรัทธาและเชื่อฟังพระองค์
คัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่า “แน่นอน เราจะทดสอบสูเจ้าด้วยความกลัว ความหิว และการสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทน บรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์กรรมเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากล่าวว่า ‘แท้จริง เราเป็นของพระเจ้าและยังพระองค์ที่เราจะกลับไป’ คนเหล่านี้แหละที่จะได้รับความจำเริญและความเมตตาจากพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้แหละที่เป็นผู้อยู่บนหนทางที่ถูกต้อง” (กุรอาน 2:155-157)
ข้อความจากคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้นถูกประทานลงมาในตอนที่นบีมุฮัมมัดและมุสลิมอพยพออกจากเมืองมักก๊ะฮฺมายังมะดีนะฮฺในสภาพตกทุกข์ได้ยาก อีกทั้งมีศัตรูภายนอกและภายในคอยจ้องที่จะทำลาย ท่ามกลางสภาวะดังกล่าวนี้เองที่พระเจ้าต้องการจะทดสอบความเชื่อฟังของผู้ที่กล่าวว่าศรัทธาในพระองค์
ไม่มีมนุษย์คนใดต้องการให้เคราะห์กรรม ความทุกข์ยากลำบากหรือความสูญเสียเกิดขึ้นกับตน แต่เมื่อพระเจ้ากำหนดให้มันเกิดขึ้นในฐานะบททดสอบ มุสลิมจึงถูกสอนให้ยอมรับความจริงด้วยการกล่าวว่า “แท้จริง เราเป็นของพระเจ้าและยังพระองค์ที่เราต้องกลับไป”
การกล่าวถ้อยคำดังกล่าวเป็นการเตือนสติตัวเองว่าชีวิตของเรามิใช่ของเรา แต่เป็นของพระเจ้า ดังนั้น พระองค์จะทำอย่างไรกับฃีวิตของเราก็ได้เช่นเดียวกับที่เราจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เป็นของเรา ถ้ายอมรับความจริงนี้ได้ตั้งแต่แรก สติจะอยู่กับตัวและปัญญาในการแก้ไขปัญหาจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าต้องการทดสอบมนุษย์ พระองค์ก็ได้ประทานเฉลยข้อสอบมาให้แก่บ่าวผู้ถูกทดสอบด้วย เฉลยข้อสอบนี้ถูกประทานมาในตอนที่มุสลิมต้องทำสงครามครั้งแรกกับผู้รุกรานและมีหลายคนต้องสูญเสียชีวิตในสนามรบ สำหรับมนุษย์ ไม่มีการสูญเสียอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการสูญเสียชีวิต
ในตอนนั้นเอง พระเจ้าได้สั่งนบีมุฮัมมัดให้บอกมุสลิมผู้รอดชีวิตว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอความช่วยเหลือต่อพระเจ้าด้วยความอดทนและจงละหมาด เพราะพระเจ้าจะทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทน และจงอย่ากล่าวว่าบรรดาผู้ถูกฆ่าในหนทางของพระเจ้านั้นตาย ความจริงแล้ว พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่สูเจ้าไม่รู้” (กุรอาน 2:153-154)
ถ้ากองทัพตระหนักว่าร่างกายที่เข้มแข็ง ความทรหดอดทนและความไม่กลัวตายของทหารเป็นปัจจัยสำคัญในการรบและชัยชนะ อิสลามก็ถือว่าศรัทธาที่เข้มแช็งจากการละหมาด ความอดทนต่อบททดสอบและการถูกฆ่าหมายถึงการมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จทั้งในโลกนี้และโลกหน้าฉันนั้น
บทความที่น่าสนใจ
- นบีมุฮัมมัดกับการเลิกทาส
- โลกนี้คือที่ทดสอบ
- ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน
- สิทธิของผู้หญิงในอิสลาม
- ทำไมจึงต้องท่องบทสวดมนต์ซ้ำๆซากๆ?
- บทเรียนแห่งความตาย
- คำวิงวอนของอับราฮัมที่กะบะห์
- เมื่อเริ่มต้นยิ่งใหญ่ การจบลงจึงต้องยิ่งใหญ่
- อย่าให้ขี้จิ้งจกตกในแก้วน้ำที่ต้องดื่ม
- เลือกตายอย่างมีเกียรติ
- รู้จักพระเจ้าง่ายนิดเดียว
- ละหมาด คือความเมตตาของพระเจ้า
- บทเรียนจาก COVID-19 กับมุสลิม
- อัลกุรอาน คัมภีร์ที่ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง
- ผู้พิพากษาสหรัฐฯ ทุกคนรู้จักนบีมุฮัมมัด
- คัมภีร์กุรอาน แผนที่บอกทางสู่ความสำเร็จของนบีมุฮัมมัด
- ลูกหลานอิสราเอลต้องคำสาป
- เมื่อปฏิเสธศาสนา ชีวิตจึงไร้ค่า
- ทำไมมุสลิมต้องละหมาด : บรรจง บินกาซัน