ในจักรวาลที่ประกอบด้วยดาวขนาดเล็กและใหญ่นับหลายแสนล้านดวงนั้น โลกของเราเป็นดาวเล็กๆดวงหนึ่ง แต่มีลักษณะพิเศษต่างไปจากดาวดวงอื่นๆ
เมื่อเริ่มต้นยิ่งใหญ่ การจบลงจึงต้องยิ่งใหญ่
บทความโดย: อ.บรรจง บินกาซัน
ในจักรวาลที่ประกอบด้วยดาวขนาดเล็กและใหญ่นับหลายแสนล้านดวงนั้น โลกของเราเป็นดาวเล็กๆดวงหนึ่ง แต่มีลักษณะพิเศษต่างไปจากดาวดวงอื่นๆ นั่นคือ โลกของเราเป็นดาวที่มีชีวิตอาศัยอยู่โดยเฉพาะมนุษย์
ชีวิตอื่นๆในรูปของพืชและสัตว์เป็นส่วนประกอบที่มีขึ้นเพียงเพื่อรับใช้การดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่กระนั้น ชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยจากภายนอกโลกอีกมากมายที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระเบียบและมีระบบ
พืชและต้นข้าวจะเติบโตเป็นอาหารของสัตว์และมนุษย์ได้ต้องอาศัยผืนดิน น้ำ อากาศ แสงแดดจากดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับมนุษย์และสัตว์ที่เป็นประชากรโลกมาก่อนแล้ว
โลกหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์โดยไม่เคยหยุดแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อให้มนุษย์ได้มีเวลากลางวันสำหรับทำงานและกลางคืนสำหรับพักผ่อน มีฤดูกาลที่ทำให้มนุษย์ได้กินผลไม้ต่างๆตลอดทั้งปี ดวงจันทร์โคจรอยู่รอบโลกก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่ช่วยถ่ายเทน้ำบนผืนโลกผ่านปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงจนมนุษย์สามารถคำนวณได้
กระบวนการทั้งหมดนี้ มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้าง และไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
มนุษย์สงสัยมาตลอดว่าจักรวาลและโลกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำอธิบายล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ คือ ทฤษฎีการระเบิดครั้งใหญ่หรือที่เรียกกันว่า “บิ๊กแบง” (Big Bang) แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นผู้จุดระเบิดที่ทำให้มวลสสารขนาดมหึมาแตกกระจายออกมาเป็นดวงดาวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
แต่ในคำสอนของทุกศาสนาที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างจักรวาลและสร้างขึ้นมาอย่างมีวัตถุประสงค์ มิได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสนุกสนาน ในคัมภีร์กุรอานกล่าวว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และจักรวาลขึ้นมาเพื่อดูว่าในหมู่มนุษย์จะมีใครที่ศรัทธาในพระองค์และทำความดี
การสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาลขึ้นมาเพื่อรับใช้มนุษย์จึงเป็นการสร้างที่ยิ่งใหญ่ แม้นักวิทยาศาสตร์จะอธิบายการเกิดขึ้นของจักรวาลด้วยทฤษฎี “บิ๊กแบง” แต่มุสลิมไม่เคยให้ความสนใจทฤษฎีนั้นเพราะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและเชื่อว่าถ้าพระองค์ประสงค์จะสร้างสิ่งใด เพียงแค่พระองค์กล่าวว่า “จงเกิดขึ้น” ทุกสิ่งก็บังเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์ทันทีตามที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ แต่มุสลิมจะให้ความสนใจเรื่องวัตถุประสงค์ของการสร้างว่ามีความสำคัญมากกว่าและเตรียมตัวเพื่อสิ่งนั้น
แน่นอน เมื่อการสร้างมีความยิ่งใหญ่ การสิ้นสุดก็ต้องยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน เมื่อการเกิดของมนุษย์มีความหมาย การตายของมนุษย์ก็ต้องมีความหมายเช่นเดียวกัน
การระเบิดครั้งใหญ่หรือ “บิ๊กแบง” ที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเป็นสาเหตุให้เกิดจักรวาลและดาวนับแสนล้านดวงเป็นปรากฏการณ์ที่มนุษย์ไม่เคยเห็น แต่การที่โลกนี้จะจบลงอย่างไร นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่รู้ เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลก แค่ภูเขาไฟจะระเบิดเมื่อใด มนุษย์เองก็ยังไม่รู้
ดังนั้น เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าโลกจะสิ้นสุดลงในสภาพใดและมนุษย์จะอยู่ในสภาพใดหลังจากนั้น พระเจ้าผู้สร้างโลก สร้างจักรวาลและสร้างมนุษย์จึงได้บอกมนุษย์ไว้ในคัมภีร์กุรอานบทที่ 99 ว่า :
“เมื่อแผ่นดินถูกสั่นสะเทือนด้วยการสั่นสะเทือนอย่างสุดแรงของมัน และเมื่อแผ่นดินโยนทุกสิ่งที่มันแบกเอาไว้ข้างในออกมา มนุษย์จะถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับมัน?’ ในวันนั้น มันจะบอกเล่าถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้าของเจ้าทรงบัญชามัน ในวันนั้น มนุษย์จะออกกันมาเป็นหมู่ๆเพื่อที่จะได้เห็นการงานของพวกเขา ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้ทำความดีไว้แม้เพียงอณูหนึ่งจะได้เห็นมัน และใครก็ตามที่ได้ทำความชั่วไว้แม้เพียงอณูหนึ่งก็จะได้เห็นมัน”
แม้จะไม่มีใครเห็นปรากฏการณ์บิ๊กแบงที่นักวิทยาศาสสตร์เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดโลกและจักรวาล แต่การได้เห็นการระเบิดของภูเขาไฟในหมู่เกาะตองกาและภูเขาไฟลูกอื่นๆก่อนหน้านี้ คงจะพอให้มนุษย์จินตนาการได้ถึงการระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆของโลกเมื่อวันโลกาอวสานมาถึง
ความตายอาจดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นมากมายคือสิ่งที่จะตามมาหลังความตาย