ตัวสเปิร์มในน้ำอสุจินับหลายร้อยล้านตัวเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะมันเคลื่อนที่ได้ มันต้องการอาหารและที่อยู่ แต่ในตัวสเปิร์มนับร้อยล้านตัว มีเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่จะได้มีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ในมดลูก
เมื่อปฏิเสธศาสนา ชีวิตจึงไร้ค่า
บทความโดย: บรรจง บินกาซัน
ตัวสเปิร์มในน้ำอสุจินับหลายร้อยล้านตัวเป็นสิ่งมีชีวิต เพราะมันเคลื่อนที่ได้ มันต้องการอาหารและที่อยู่ แต่ในตัวสเปิร์มนับร้อยล้านตัว มีเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่จะได้มีโอกาสเข้าไปผสมกับไข่ในมดลูกของผู้หญิงและพัฒนาเป็นตัวอ่อนมนุษย์
ตัวสเปิร์มเป็นสิ่งมีชีวิต แต่การทำลายตัวสเปิร์มไม่ผิดกฎหมาย แม้ตัวสเปิร์มผสมกับไข่และกลายเป็นตัวอ่อนในรูปของก้อนเลือดที่เกาะมดลูกอยู่ แต่ตัวอ่อนจะยังไม่กลายเป็นมนุษย์จนกว่าจะได้รับวิญญาณที่ทำให้ตัวตนของมนุษย์เริ่มต้นมีชีวิต
ประมาณ 1,500 ปีที่แล้ว นบีมุฮัมมัดผู้ที่คนร่วมสมัยรู้ว่าเป็นผู้ไม่รู้หนังสือได้กล่าวถึงการกำเนิดมนุษย์ในครรภ์ว่า
“วิธีการที่พวกท่านแต่ละคนถูกสร้างมาก็คือ ท่านได้ถูกรวมเข้าไว้ในรังไข่ของแม่เป็นเวลาสี่สิบวันในตอนที่เป็นเชื้ออสุจิ หลังจากนั้น ในระยะเวลาเท่าๆกันก็เป็นก้อนเลือด และหลังจากนั้นก็เป็นก้อนเนื้อในเวลาเท่าๆกัน หลังจากนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจะถูกส่งมาเป่าวิญญาณเข้าไปในท่านและมีหน้าที่ทำตามคำบัญชาสี่ประการ นั่นคือกำหนดปัจจัยยังชีพของท่าน ช่วงอายุของท่าน การงานของท่านและท่านจะทุกข์หรือสุข”
คำบอกเล่าดังกล่าวไม่เพียงแต่บอกให้เรารู้ว่าชีวิตของมนุษย์ได้ถูกลิขิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และตัวอ่อนมีพัฒนาการเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อได้รับวิญญาณจากพระเจ้า
ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นพบพัฒนาการตัวอ่อนของมนุษย์ในครรภ์แม่และสามารถทำการผสมเทียมได้ สำหรับคนที่มีลูกยาก แพทย์สามารถนำตัวสเปิร์มมาผสมกับไข่ให้เป็นตัวอ่อนได้ แต่แพทย์ผู้ทำการผสมเทียมไม่สามารถอัญเชิญวิญญาณเข้ามาในก้อนเลือดเพื่อให้ก้อนเลือดพัฒนาการเป็นมนุษย์ได้นอกจากพระเจ้าจะอนุมัติให้เท่านั้น และความสำเร็จจากการผสมเทียมมีไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์และแพทย์ไม่อาจรับประกันได้ด้วยว่าทารกจะสมบูรณ์
ตัวอ่อนที่ไม่ได้รับวิญญาณจะไม่มีโอกาสเติบโตเป็นมนุษย์และจะต้องออกจากโลกแห่งครรภ์มารดาไปในสภาพของการแท้ง ส่วนตัวอ่อนที่ได้รับวิญญาณจะมีพัฒนาการในครรภ์เป็นเวลาเก้าเดือนก่อนที่จะคลอดออกมาสู่โลกใบนี้โดยมีทั้งร่างกายและวิญญาณอยู่ด้วยกัน
ถ้าวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตและวิญญาณมาจากพระเจ้า ดังนั้น ชีวิตของมนุษย์ทั้งร่างกายและวิญญาณจึงเป็นเหมือนสมบัติของพระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่ได้สร้างชีวิตทั้งร่างกายและวิญญาณ การมีชีวิตจึงเป็นโอกาสให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ชีวิตมนุษย์จึงเป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ และเนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีเกียรติและสูงส่งที่สุด การทำลายชีวิตจึงเป็นการทำลายสิ่งมีค่าที่พระเจ้าสร้างมา นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกศาสนาจึงห้ามการทำร้ายและทำลายชีวิตและถือว่าการฆ่าเป็นบาปใหญ่
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีฆาตกรรมทำลายชีวิต พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตอนุญาตให้มีการลงโทษด้วยการเอาชีวิตของฆาตกรเมื่อมีการไต่สวนแล้วว่าผิดจริงทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้มีการฆ่าล้างแค้นกัน
การลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันจึงมีขึ้นในคัมภีร์ทางศาสนาที่มาจากพระเจ้าเพื่อดำรงความยุติธรรม เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทรงยุติธรรม
หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เมื่อมนุษย์ผู้มีอารยะธรรมปฏิเสธศาสนา และความโลภเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องเข่นฆ่าทำลายคนอื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมา หากคำสอนของศาสนายังมีสถานะเป็นกฎหมายและมีบทลงโทษแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันอยู่ ผู้มีอำนาจที่เข่นฆ่าผู้คนจะต้องได้รับโทษให้ตายตกไปตามกัน จึงมีการรณรงค์ให้ยกเลิกการประหารชีวิตซึ่งถือเป็นการไม่ยอมรับสิทธิ์ในชีวิตของพระเจ้า
เป็นเรื่องน่าแปลกที่มนุษย์ประณามการทำทารุณกรรมและการฆาตกรรม แต่ขณะเดียวกัน มนุษย์กลับมองว่าการประหารฆาตกรเป็นการไร้เมตตาธรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่เป็นเรื่องแปลกอะไรที่เราจะได้เห็นการฆาตกรรมดาษดื่นอยู่ในสังคม