ดาวนับหลายล้านดวงในจักรวาล ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา โดยมีกฎควบคุมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบจนมนุษย์สามารถคำนวณการโคจรของดวงดาว
ศาสนากับธรรมชาติ
บทความโดย: อ.บรรจง บินกาซัน
ดาวนับหลายล้านดวงในจักรวาล ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา โดยมีกฎควบคุมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระเบียบจนมนุษย์สามารถคำนวณการโคจรของดวงดาว ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ การเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้อย่างแม่นยำ กฎของดาราศาสตร์เป็นหลักฐานยืนยันว่า ดาวนับล้านดวงในจักรวาลไม่ได้เกิดขึ้นมาเองโดยปราศจากผู้สร้างและผู้ควบคุม
โลกที่เราอาศัยอยู่เป็นดาวเล็กๆดวงหนึ่งในหมู่ดาวนับล้านดวง แต่โลกเราเป็นดาวที่แปลกไปจากดาวดวงอื่นทั้งหมดตรงที่โลกเราเป็นดาวที่มีชีวิต คือมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างมีอวัยวะสำหรับการดำรงชีวิตและมีพฤติกรรมคล้ายกัน
แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังแตกต่างไปจากสัตว์อื่นๆตรงที่มนุษย์มีสติปัญญาและเจตนารมณ์เสรีที่จะเลือกในขณะที่สัตว์ไม่มีสองสิ่งดังกล่าวนี้ สัตว์จึงดำเนินชีวิตไปตามกฎที่มนุษย์เรียกว่าสัญชาตญาณ สัตว์แต่ละประเภทจะมีวิถีชีวิตอย่างเดียวกันซึ่งทำให้มันอยู่ร่วมกันเป็นประชาคม (Community) ในภาษาอาหรับเรียกว่า “อุมมะฮ์”
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์ ก็คือ มนุษย์มีศาสนาเป็นแนวทางดำเนินชีวิต แต่เพราะมนุษย์มีสติปัญญาและเจตนารมณ์เสรีในการเลือก มนุษย์จึงสามารถเลือกศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตหรือจะปฏิเสธก็ได้ในขณะที่สัตว์ไม่อาจปฏิเสธสัญชาติญาณในการดำเนินชีวิตของมัน
ถ้าสัญชาตญาณเป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าสร้างไว้สำหรับสัตว์ ศาสนาก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เช่นกัน มนุษย์จึงมีสัญชาตญาณของสัตว์ติดตัวมาและได้รับศาสนาเพื่อเป็นตัวควบคุมสัญชาตญาณของสัตว์ในตัวมนุษย์ด้วยเช่นกัน
เมื่อสัตว์กินอิ่ม สัญชาติญาณจะสั่งให้มันเลิกล่า ฝูงลิงยกพวกตีกันด้วยสัญชาตญาณหวงแหนพื้นที่ ตีกันได้สักพักก็เลิกรากันไปโดยไม่มีการอาฆาตพยาบาทคิดฆ่าล้างแค้นหรือล้างโคตร แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงต้องมีกฎหมายไว้ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์
แต่ก่อนที่โลกมนุษย์จะมีรัฐบาลหรือรัฐสภาทำหน้าที่ออกกฎหมาย ศาสนาได้ทำหน้าที่และมีบทบาทในการจัดระเบียบชีวิตของมนุษย์ทั้งในระดับส่วนบุคคลและส่วนรวม และเนื่องจากศาสนามาจากพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง ศาสนาที่มาจากพระเจ้าจึงไม่ขัดแย้งกับกฎธรรมชาติที่พระองค์สร้างขึ้นมา
การทำสิ่งใดที่เป็นการขัดขืนกับธรรมชาติจะส่งผลเสียหายต่อมนุษย์ฉันใด การทำสิ่งที่ฝ่าฝืนศาสนาก็จะส่งผลเสียหายต่อมนุษย์ฉันนั้นทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เพราะศาสนาและธรรมชาติมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันและมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน
หลังจากโลกเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่มีความเจริญก้าวหน้า ผู้คนคลั่งไคล้วัตถุนิยมและปฏิเสธศาสนา ลัทธิโลกานิยม (Secularism)จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในยุคนี้ มนุษย์ไม่เพียงแต่ปฏิเสธศาสนาเท่านั้น แต่ยังคิดทำลายศาสนาด้วย ถ้ามนุษย์ทำลายธรรมชาติและได้รับผลกรรมติดตามมาอย่างไร มนุษย์ก็จะได้รับผลไม่ต่างกันถ้ามนุษย์ทำลายศาสนา
แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจทำลายได้ เพราะมนุษย์เป็นชีวิตที่มีสองมิติ คือ วิญญาณและร่างกาย ถ้ามนุษย์ต้องการอากาศหายใจเพื่อมีชีวิตรอดในโลกนี้ มนุษย์ก็ต้องการศาสนาเพื่อความรอดพ้นของวิญญาณในโลกหน้าด้วย
ลัทธิคอมมิวนิสต์เคยเห็นศาสนาเป็นยาเสพติดและพยายามทำลายศาสนามาแล้ว แต่ในปัจจุบัน ศาสนายังคงอยู่ในประเทศที่มีอดีตเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ต่างหากที่ล่มสลายไปเพราะเหตุผลหลายประการที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์
ลัทธิทุนนิยมที่ส่งเสริมการบริโภคอย่างไร้ขอบเขตจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายขณะนี้กำลังสร้างปัญหาให้แก่ทุกประเทศที่นำมันมาใช้อย่างสุดโต่ง
โดยความเป็นจริงแล้ว ศาสนาคือรากฐานของชีวิตและสังคม และศาสนาเกี่ยวพันกับธรรมชาติอย่างแยกกันไม่ออก ถ้ามนุษย์ละเมิดขอบเขตศาสนา ชีวิตของมนุษย์ทั้งส่วนตัวและสังคมจะไม่มีความมั่นคงและปลอดภัย ธรรมชาติจะได้รับความเสียหายและส่งผลร้ายกลับมาสู่มนุษย์เอง
ถ้ามนุษย์ต้องการชีวิตที่มีความสุขอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ มนุษย์ต้องหันกลับไปหาแก่นแท้ของศาสนาที่ตัวเองนับถือและปฏิบัติตามนั้น
- ที่มาของโรคเหยียดผิวชังพันธุ์
- ศรัทธากับชีวิตคู่
- รู้จักพระเจ้าง่ายนิดเดียว
- 3 สัญญานวันสิ้นโลก ได้เกิดขึ้นแล้วที่นครมักกะห์
- ศาสนามาพร้อมกับมนุษย์
- 25 คำถามสำหรับผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู
- ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน
- คัมภีร์กุรอาน แผนที่บอกทางสู่ความสำเร็จของนบีมุฮัมมัด
- เมื่อลูกหลานอิสราเอลกลายเป็นยิว
- กุรบาน มิใช่การบูชายัญ
- ใครว่าพระเจ้าไม่มี - โดยบรรจง บินกาซัน
- ฮัจญ์ บทเรียนแห่งชีวิต