ทุกศาสนา มีความเชื่อเหมือนกันในสิ่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “สิ่งเร้นลับ” ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งเร้นลับดังกล่าวนี้มีอยู่จริงแม้จะมองไม่เห็น
รู้จักพระเจ้าง่ายนิดเดียว
บทความโดย: บรรจง บินกาซัน
ทุกศาสนา มีความเชื่อเหมือนกันในสิ่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “สิ่งเร้นลับ” ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า สิ่งเร้นลับดังกล่าวนี้มีอยู่จริงแม้จะมองไม่เห็น และความเชื่อในสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นนี้เรียกว่าศรัทธาที่เป็นพื้นฐานของทุกศาสนา
พระเจ้า นรก สวรรค์ วิญญาณ ทูตสวรรค์ สิ่งเหล่านี้ทุกศาสนายืนยันว่ามีอยู่จริง ใครไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ถือว่าไม่ศรัทธา ในอิสลาม มุสลิมคนใดที่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ถือว่า เป็นผู้ไม่ศรัทธาและพ้นสภาพความเป็นมุสลิมไปทันที
เนื่องจาก สิ่งเร้นลับเหล่านี้อยู่นอกเหนืออาณาจักรทางวัตถุและไม่สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ได้ ดังนั้น ใครที่ต้องการความรู้ในเรื่องเหล่านี้จึงต้องไปหาจากคำสอนของศาสนาที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์
คัมภีร์ทางศาสนาทุกเล่มเอ่ยถึงการมีอยู่ของพระเจ้าและเรียกพระเจ้าด้วยภาษาที่แตกต่างกันไป มนุษย์ส่วนใหญ่ของโลกเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้ามานานก่อนจะมีลัทธิปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเกิดขึ้น แม้ความศรัทธาในพระเจ้าถือเป็นพื้นฐานสำคัญของศาสนาและเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องง่ายที่สุดที่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจและรู้จักพระองค์
เมื่อเราจะเชื่อใจใครคนหนึ่ง เราต้องรู้จักประวัติที่มาและคุณสมบัติของคนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้แนะนำตัวเองเพื่อให้มนุษย์รู้จักพระองค์ เช่นเดียวกับที่เราต้องการรู้คุณสมบัติของคนมากกว่ารูปร่างหน้าตาฉันใด พระองค์ก็แนะนำคุณสมบัติของพระองค์ให้มนุษย์ได้รู้จักพระองค์ฉันนั้น การรู้จักพระเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องเห็นตัวพระองค์ เพราะถ้ามนุษย์เห็นพระเจ้าด้วยตา นั่นก็ไม่ใช่ความศรัทธา
นักวิชาการทางด้านศาสนากล่าวว่าการรู้จักพระเจ้ามีทางที่เปิดให้เข้าไป 100 ทาง แต่มีทางหนึ่งที่มีประตูปิดสนิทอยู่และคนที่ปฏิเสธพระเจ้าพยายามจะเข้าไปทางที่มีประตูปิดอยู่
หากมีใครคนหนึ่งบอกว่าตัวเขามีความรู้ความสามารถในการทำอาหาร เราไม่มีทางรู้ได้เลยถึงคุณสมบัติของคนผู้นั้นเพราะความรู้ความสามารถเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่สามารถเอากล้องจุลทรรศน์มาส่องให้เห็นได้ หนทางเดียวที่เราจะเห็นความรู้ความสามารถก็คือการให้คนผู้นั้นแสดงความรู้ความสามารถของเขาออกมา
พระเจ้าแนะนำพระองค์ด้วยตัวเองไว้ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานว่าพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ใครจะปฏิเสธคุณสมบัติข้อนี้ก็หาข้อพิสูจน์มายืนยัน แม้ในคัมภีร์พระเวท พรหมก็แปลว่าผู้สร้าง
พระเจ้าแนะนำพระองค์ต่อไปว่าพระองค์เป็นผู้ทรงจัดระเบียบทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา และพระองค์ได้แสดงหลักฐานให้เห็นในจักรวาลที่ประกอบด้วยดาวนับหลายแสนล้านดวงที่โคจรกันอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้วยการสังเกตเห็นการโคจรของดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ในท้องฟ้านี้เอง อับราฮัม แม้ยังเป็นเด็กก็เกิดความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าคือผู้สร้างและผู้กำหนดการโคจรของเทหวัตถุในท้องฟ้า
พระเจ้าแนะนำพระองค์อีกว่าพระองค์เป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพและพระองค์ได้แสดงคุณสมบัติของพระองค์ให้เห็นในรูปของนมแม่ อาหารทิพย์จากฟากฟ้าสำหรับทารกที่มนุษย์ยังไม่สามารถทำเทียมได้
ด้วยความที่พระเจ้าเกรงว่ามนุษย์จะไม่รู้จักพระองค์และตั้งตนเป็นพระเจ้าแย่งกันแสดงอำนาจ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นบนแผ่นดิน พระเจ้าจึงคัดเลือกมนุษย์บางคนขึ้นมาทำหน้าที่เป็นนบีสอนผู้คนว่าพระเจ้าที่แท้จริงมีเพียงองค์เดียวที่มนุษย์จะต้องเคารพสักการะและเชื่อฟัง
เนื่องจากศาสนาเป็นเรื่องความสัมพันธ์ในแนวดิ่งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและในแนวระนาบระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา ความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าจะส่งผลถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา การรู้จักพระเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากที่เราต้องรู้จักพยัญชนะก่อนเมื่อต้องเรียนภาษา
เราเข้าไปในพระราชวังด้วยความเคารพและรู้จักสถานะของตัวเอง รู้ว่าต้นไม้และสัตว์ทรงเลี้ยงเป็นของในหลวง ด้วยความเคารพในอำนาจบารมีของในหลวง แน่นอน เราคงไม่ทำลายทรัพย์สินหรือทำร้ายสัตว์ที่อยู่ในวังอย่างแน่นอน เช่นเดียวกัน ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นของพระเจ้า เมื่อเรารู้จักพระเจ้า เราก็จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา
- ศรัทธากับชีวิตคู่
- เหตุการณ์ยึดกะบะห์-ผู้อ้างตนเป็นอีหม่ามมะห์ดี
- ผู้พิพากษาสหรัฐฯ ทุกคนรู้จักนบีมุฮัมมัด
- 3 สัญญานวันสิ้นโลก ได้เกิดขึ้นแล้วที่นครมักกะห์
- ถือศีลอดมิใช่แค่อดข้าวอดน้ำ
- ศาสนามาพร้อมกับมนุษย์
- ถึงร้อยพันศาสดา ก็ศาสนาเดียวกัน
- รู้วิทยาศาสตร์ แต่..อย่าขาดความเชื่อในศาสนา
- ฮาลาลและฮารอมมีในทุกศาสนา