มะดีนะฮฺเป็นเมืองพหุสังคม ที่ประกอบด้วยชุมชนชาวอาหรับท้องถิ่นที่มีทั้งผู้กราบไหว้บูชารูปเคารพและผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ชุมชนชาวยิวและกลุ่มคนที่หันมาแสดงตัวเป็นมุสลิม
ท่าทีของนบีมุฮัมมัดในพหุสังคม
บทความโดย: อ.บรรจง บินกาซัน
มะดีนะฮฺเป็นเมืองพหุสังคม ที่ประกอบด้วยชุมชนชาวอาหรับท้องถิ่นที่มีทั้งผู้กราบไหว้บูชารูปเคารพและผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ชุมชนชาวยิวและกลุ่มคนที่หันมาแสดงตัวเป็นมุสลิมเพื่อหวังผลประโยชน์และพร้อมที่จะทรยศมุสลิมเมื่อได้โอกาส คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “มุนาฟิก” (ผู้ตลบตะแลง)
เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพมายังมะดีนะฮฺ ท่านมาในสถานะผู้ถูกชาวเมืองที่ขัดแย้งกันเชิญมาเป็นผู้นำ ในขณะที่หัวหน้ากลุ่มมุนาฟิกกำลังวาดหวังว่าตัวเองจะได้รับการแต่งตั้งจากชาวเมืองให้เป็นผู้นำ แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดมาท่ามกลางมติเอกฉันท์ ผู้นำคนกลุ่มนี้จึงรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้จักเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้
นบีมุฮัมมัดรู้ดีว่าไม่ช้า ชาวมักก๊ะฮฺที่เคียดแค้นท่านและบรรดาสาวกของท่านจะต้องบุกมาชำระแค้น ท่านจึงต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาให้แก่เมืองมะดีนะฮฺโดยท่านได้เรียกชุมชนทุกกลุ่มมาทำสัญญาป้องกันเมืองร่วมกัน และเพื่อมิให้เกิดความแตกแยก ท่านให้แต่ละชุมชนมีเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนาตามความเชื่อของตนและกำชับมุสลิมให้เคารพศาสนาของผู้อื่น เพราะตัวท่านเองถูกพระเจ้าสั่งว่าให้เข้าหาและพูดจากับชุมชนชาวยิวด้วยวิธีการที่ดี
ครั้งหนึ่ง มุสลิมกับชาวยิวเกิดทะเลาะกัน มุสลิมกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระเจ้าผู้ทรงให้มุฮัมมัดเหนือกว่าคนทั้งหมด” ชาวยิวคู่กรณีจึงกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระเจ้าที่ให้โมเสสเหนือกว่าคนทั้งโลก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุสลิมจึงทำท่ายกมือจะตบหน้าคู่กรณี ชาวยิวได้ไปฟ้องนบีมุฮัมมัด ท่านจึงให้คนไปตามมุสลิมคู่กรณีมาและกล่าวว่า
“อย่าพูดว่าฉันเหนือกว่าโมเสส เพราะในวันฟื้นคืนชีพหลังความตาย ทุกคนจะล้มหมดสติ และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ฉันจะเป็นคนแรกที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาและเห็นโมเสสกำลังยืนอยู่ข้างบัลลังก์พระเจ้า ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่ล้มหมดสติและฟื้นขึ้นมาก่อนฉันไหม หรือเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้ายกเว้นให้จากการหมดสติ”
นบีมุฮัมมัดยังได้กล่าวกับสาวกของท่านอีกว่า “ใครฆ่าคนที่มีสัญญากับมุสลิมจะไม่ได้กลิ่นของสวรรค์ถึงแม้ว่ากลิ่นนั้นจะโชยไปไกลเป็นระยะสี่สิบปี”
ส่วนกลุ่มคนตลบตะแลงนั้น ถึงแม้นบีมุฮัมมัดและสาวกบางคนรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้จะฉวยโอกาสทันทีหากนบีมุฮัมมัดเพลี่ยงพล้ำ แต่นบีมุฮัมมัดได้ย้ำกับบรรดาสาวกของท่านว่าเมื่อใครกล่าวคำสัญญายืนยันกับพระเจ้าว่าจะสักการะพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว เขาผู้นั้นคือมุสลิมและเขาต้องปลอดภัยจากลิ้นและมือของมุสลิมด้วยกัน ถ้าเขายังไม่ทำอะไรผิด ใครก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ส่วนใจจะตลบตะแลงอย่างไรเป็นเรื่องระหว่างเขาผู้นั้นกับพระเจ้า
ในที่สุด ท่าทีตลบตะแลงที่ซ่อนอยู่ในใจของคนกลุ่มนี้ก็เผยออกมาเมื่อมะดีนะฮฺถูกรุกรานเป็นครั้งที่สองจากชาวมักก๊ะฮฺ นบีมุฮัมมัดได้เรียกทุกฝ่ายประชุมเพื่อปรึกษาเรื่องการป้องกัน อับดุลลอฮฺ บินอุบัยย์หัวหน้ากลุ่มมุนาฟิกเสนอให้ตั้งรับในเมือง แต่คนหนุ่มส่วนใหญ่เสนอให้ตั้งรับศัตรูนอกเมืองและนบีเห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ หัวหน้ากลุ่มมุนาฟิกจึงรู้สึกไม่พอใจที่นบีไม่ฟังคำแนะนำของผู้อาวุโสอย่างเขา
นบีมุฮัมมัดนำทัพที่มีกำลังประมาณ 1,000 คนออกไปตั้งรับ ในจำนวนนี้มีประมาณ 300 คนอยู่ภายใต้การนำของหัวหน้ากลุ่มมุนาฟิก เมื่อรู้ว่าฝ่ายมักก๊ะฮฺมีกำลังมากกว่าถึงสามเท่า หัวหน้ากลุ่มมุนาฟิกได้ถอนกำลังของตัวเองออกโดยอ้างว่าคนหนุ่มไม่เชื่อฟังเขา สงครามป้องกันการรุกรานครั้งนั้น แม้ฝ่ายมักก๊ะฮฺก็ไม่ได้รับชัยชนะเด็ดขาด แต่ฝ่ายมุสลิมได้รับความบอบช้ำอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม นบีมุฮัมมัดก็ไม่ได้ลงโทษหัวหน้าพวกมุนาฟิกและพรรคพวกที่ละทิ้งการต่อสู้กลางคันทั้งๆที่รู้เจตนาลึกๆของคนกลุ่มนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวยิวเผ่าหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าใหญ่ที่สุดได้วางแผนลอบสังหารนบีมุฮัมมัด ท่านจึงสั่งปราบปรามซึ่งทำให้ผู้ชายชาวยิวเผ่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมากรวมทั้งหัวหน้าเผ่าด้วย หัวหน้าเผ่านี้มีลูกสาวสวยคนหนึ่งชื่อเศาะฟียะฮฺ สามีของนางถูกฆ่าในการปราบปรามครั้งนี้ด้วย ตามธรรมเนียม นางต้องตกเป็นทรัพย์สินที่ยึดได้ในสนามรบและถูกแบ่งไปเป็นสมบัติของผู้ได้รับส่วนแบ่ง
เมื่อนบีมุฮัมมัดรู้เรื่องนี้ ท่านได้ขอเธอแต่งงานเพื่อให้เธอพ้นจากการตกเป็นทาส เมื่อเธอตอบรับ เธอได้กลายมาเป็นภรรยาของนบีผู้นำประชาคมมุสลิม การแต่งงานครั้งนั้นได้ทำให้ชาวยิวที่ยังมีชีวิตอยู่คลายความเป็นศัตรูต่อมุสลิมลง ขณะเดียวกัน มุสลิมก็ไม่กล้าปฏิบัติกับญาติพี่น้องของภรรยานบีเหมือนทาส